สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 347

“เจ้าอยู่ในวัง...สบายดีหรือเปล่า...”

มีโอกาสไม่มากนักที่จะได้พบกันแบบนี้ สวีเม่าจึงใช้เวลาถามลูกสาวของเขาว่านางเป็นอย่างไรบ้าง

สวีจือย่วนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ลูกเรียบร้อยดีทุกอย่าง”

สวีเม่าจับมือลูกสาว แล้วมองขึ้นลงอย่างสำรวจตรวจตรา รู้สึกภูมิใจจนหุบปาดไม่ลงด้วยซ้ำ

“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี รู้ว่าเจ้าสบายดี ข้ากับแม่ของเจ้าก็สบายใจ”

ความจริงที่ว่าฝ่าบาทอนุญาตให้พวกเขาสองพ่อลูกได้พบกันตามลำพัง ก็พิสูจน์ว่าเขาดีต่อสวีจือย่วนเพียงใด และการเลื่อนตำแหน่งจากอาลักษณ์ไปเป็นผู้ช่วยเจ้ากรม ก็มีมูลเหตุมาจากบุตรสาว

สวีเม่าเป็นคนมีเหตุผล เขามองไปที่ลูกสาว และพูดด้วยสีหน้ายินดี “อยู่ในวังต้องประพฤติตัวดี ต่อไปหากเคราะห์ดีก็จะได้รับการแต่งตั้งยศเป็นสนมขั้นผินขั้นเฟย ตระกูลสวีของเราก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย”

ทันใดนั้นสวีเม่าก็นึกถึงการใกล้กลับราชสำนักของตระกูลอิน สีหน้าของเขาก็ดูกังวลเล็กน้อย

“ตอนนี้เมื่อเจ้าเข้าวังแล้ว เจ้าเป็นสตรีของฝ่าบาท เจ้าต้องไม่คิดเรื่องอื่น แม้ว่าตระกูลอินจะได้รับการแก้ไขสถานะให้ถูกต้องแล้ว แต่เจ้ากับอินสิงอวิ๋นก็เป็นไปได้ได้อย่างแน่นอน”

สวีจือย่วนยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าตัดใจจากอินสิงอวิ๋นไปนานแล้ว ตอนนี้ข้าได้เข้าวังแล้ว ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเดินเส้นทางนี้ต่อไป ข้าจะขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงที่สุด ทำให้ทุกคนต้องเงยหน้าขึ้นมองข้า”

ขณะสวีจือย่วนพูดคำนี้ ดวงตาก็ปรากฏร่องรอยของความโหดเหี้ยมที่จะไม่มีวันยอมแพ้จนกว่านางจะบรรลุเป้าหมาย

สวีเม่ารู้สึกโล่งใจทันที

“ถ้าคิดแบบนี้ก็ดี ถ้าต้องการเงินก็ส่งขันทีออกไปบอกพ่อได้ หากต้องการสิ่งใด พ่อจะหาทางเอามาให้เจ้าให้ได้”

สวีจือย่วนยอบกายคำนับ

“ขอบคุณท่านพ่อ ลูกไม่ต้องการอะไรแล้ว”

ทันทีที่สวีจือย่วนพูดจบ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ดังมาจากด้านนอก

“เสนาบดีกรมพิธีการมาถึงแล้ว”

สวีจือย่วนพูดอย่างเร่งรีบ “ในเมื่อท่านพ่อมีเรื่องจะหารือกับฝ่าบาท เช่นนั้นลูกก็ขอตัวก่อน”

พอสวีจือย่วนเดินออกจากห้องโถง เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็เดินออกมาจากห้องโถงด้านข้างเช่นกัน

นางเดินไปหาเย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างงดงาม ยอบกายลงแล้วพูดว่า “หม่อมฉันขอขอบพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาทมีเรื่องต้องทำ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่รบกวน จะกลับหอสุ่ยอวิ้นแล้วเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พยักหน้า “ก็ดี วันนี้ไม่ต้องเฝ้าพระศพ พักผ่อนให้สบายเถอะ”

พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือพร้อมกับเสนาบดีกรมพิธีการ

สวีจือย่วนมองย้อนกลับไป และพาหานปิงออกจากห้องหนังสือ

เมื่อเดินทะลุสวนบุปผา ก็เป็นตรอกหินกรวด

ฉู่หลิงอวี้และนายหญิงอีกสองคนก็เดินผ่านเส้นทางนี้ไปเช่นกัน

“โชคดีที่พรุ่งนี้ก็จะเคลื่อนศพแล้ว ถ้าต้องคุกเข่าอีก เกรงว่าเอวของข้าคงได้หักพอดี”

ฉู่หลิงอวี้เอามือบีบเอวของตัวเองด้วยใบหน้าเหยเก

กว่าจะไปขอพึ่งบารมีต้นไม้ใหญ่อย่างไทเฮาได้ก็ช่างยากเย็นยิ่งนัก แต่จู่ๆ นางกับมาสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน

ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมจะเห็นว่าซูฉ่ายเวยที่อยู่ในฐานะหลิงเฟยนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิด แต่ผู้ที่ฝ่าบาททรงวางไว้เป็นหัวใจสำคัญก็คือพระสนมเหยาเฟย

เมื่อนางคิดว่าจะต่อไปจะทำอะไรก็ต้องมองสีหน้าของอินชิงเสวียน ฉู่หลิงอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด เมื่อนางคิดถึงความแตกแยกกับนางก่อนหน้านี้ นางก็รู้สึกหดหู่อีกครั้ง

หรือว่าใบหน้าที่สวยงามของนางกำลังจะเหี่ยวเฉาในวังหลังแห่งนี้

เมื่อคิดถึงเหล่าบรรดาไท่เฟยหรือไท่ผินที่ไม่เคยได้รับใช้ฝ่าบาทจนชั่วชีวิต และสุดท้ายต้องมามีจุดจบอย่างน่าหดหู่ ฉู่หลิงอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น นางไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นไปตลอดชีวิต ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะพยายามให้เต็มที่

พอเงยหน้าขึ้นมอง ทันใดนั้นนางก็เห็นสวีจือย่วน เมื่อเขาห็นว่าทิศทางที่นางออกมาคือห้องหนังสือ นางก็ไม่วายพูดกระทบกระทั่ง “เจ้านี่ก็ฉลาดจริงๆ วันๆ จ้องแต่จะหาโอกาสไปหาฝ่าบาท”

สวีจือย่วนหยุดเดิม ท่าทางขี้ขลาดตาขาวของเมื่อก่อนได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่มีใครรั้งตัวเจ้าไว้ไม่ให้ไปหาฝ่าบาท ไยจึงต้องพูดจาแดกดันเช่นนี้”

ฉู่หลิงอวี้เดินเข้ามาหานางแล้วพูดด้วยท่าทีเหยียดหยาม “อย่าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าให้องค์ชายน้อยไม่กี่ชุด แล้วจะคิดว่าตัวเองสนิทกับเหยาเฟย นอกจากเรื่องตอนนั้นที่เจ้าออกอุบายตกน้ำแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่เคยไปที่หอสุ่ยอวิ้นอีก เจ้าและข้าก็เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองเท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ตาม ฝ่าบาทจะไม่มีวันชอบเจ้า”

“ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ตอนนี้ยังไม่มีเวลาพัก เจ้าก็รีบไปทำธุระของเจ้าก่อน เมื่อข้าทำงานเสร็จข้าจะใช้กระพรวนทองเรียกเจ้าเอง”

เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอินชิงเสวียน ต่งจื่ออวี๋เดาว่านางต้องมีเรื่องใหญ่แน่นอน จึงพูดด้วยความเคารพ “ขอรับ ผู้เยาว์ก็จะไปหาอาจารย์อาแล้ว”

อินชิงเสวียนประกบมือคำนับ “ดี เช่นนั้นเราก็บอกลากันตรงนี้”

ครั้นแล้วทั้งสองก็เดินตามชาวบ้านเข้าไปในเมือง และแยกทางกันที่ประตูเมือง

ในอีกด้านหนึ่ง ไป๋เสวี่ยตามไปพบบ้านมุงหญ้าคาสามหลัง แต่กลับว่างเปล่า

มันเข้าไปในบ้านมุงหญ้าคา มองดูเก้าอี้ที่ผูกมัดอินชิงเสวียนไว้ และเห่าอย่างดุเดือด

เย่จั้นเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามว่า “หรือว่านางเคยมาอยู่ตรงนี้งั้นรึ”

ไป๋เสวี่ยพูดไม่ได้ แต่ก็ยังเห่าไปที่เก้าอี้

เย่จั้นเดินไปรอบๆ บ้านและไม่พบใครอยู่ที่นั่น

เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ที่นี่ไม่มีใครอีกแล้ว ไปกันเถอะ”

ไป๋เสวี่ยครางหงิงๆ แล้วเดินส่ายหางตามเย่จั้นออกมา

เย่จั้นมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “นอกจากนี้ที่นี่ เจ้ายังไปเจอจากที่ไหนอีก”

ไป๋เสวี่ยส่ายศีรษะ มีกลิ่นหอมหลงเหลืออยู่ที่นี่ แต่มันไม่สามารถดมกลิ่นได้

“งั้นก็กลับเข้าเมืองก่อน”

เย่จั้นขึ้นหลังม้า แล้วคนและสุนัขก็ข้ามสะพานไม้กระดานเดี่ยวอย่างรวดเร็ว

ไม่นานหลังจากที่เขาจากไป ร่างในชุดสีม่วงก็เดินออกมาจากยอดเขา

มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย แล้วเม็ดไฝที่หางตาก็เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์