สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 348

การเดินทางระยะไกลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ด้านในต้นขาของอินชิงเสวียนปวดระบมไปหมด โชคดีที่นางสวมชุดกระโปรงสีดำของฟางรั่ว ถ้านางใส่กางเกง ท่าที่เดินคงจะน่าอายไม่น้อย

นางกุมบังเหียน แล้วเดินโซเซไปทางวังหลวง ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองสวมใส่หน้ากากใบหน้าของฟางรั่วอยู่ ดังนั้นนางจึงรีบหาสถานปลอดคน และถอดหน้ากากออก

หลังจากใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วยาม อินชิงเสวียนก็มาถึงประตูวังในที่สุด

ทหารองครักษ์ย่อมรู้จักนางอยู่แล้ว จึงพูดด้วยความประหลาดใจ “พระสนมเหยาเฟย ท่านกลับมาแล้ว”

อินชิงเสวียนพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า ถามอย่างกังวลทันที “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”

ทหารองครักษ์กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงสำราญดี ตอนนี้น่าจะอยู่ในห้องหนังสือกระมัง”

เช้านี้เขาเห็นฝ่าบาทและจิ้งอ๋องขี่ม้าออกจากวัง ท่าทางดูกระตือรือร้นมาก

อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย “ฝ่าบาทปลอดภัยดี? แล้วองค์ชายน้อยล่ะ”

ทหารองครักษ์ยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก “เมื่อวานพระสนมก็อุ้มกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ”

เมื่อได้ยินว่าเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงยังอยู่ในวัง อินชิงเสวียนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เย่‍จิ่ง‍อวี้คงรู้แผนการของโยวหลานแล้ว พอมาลองคิดดู ถ้าเขาสามารถเป็นฮ่องเต้ได้ เขาจะเหมือนคนธรรมดาได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นเขาเคยถูกหลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าเขายังถูกแทงได้อีก เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากคนโง่แล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แค่ลูกปลอดภัยก็ดีแล้ว

ทหารองครักษ์จูงม้าเข้ามา แต่หนิงซวงกลับทำเสียงฮึดฮัด ไม่ยอมให้เขาสัมผัสตัวมันเลย

อินชิงเสวียนแตะหัวของเจ้าม้าแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ในวังมีกฎเกณฑ์อยู่ เจ้าไม่สามารถติดตามข้าได้ตลอดเวลา นอกจากนี้เจ้ายังเหนื่อยหลังจากเดินมาไกลขนาดนี้ ตามพวกเขาไปพักผ่อนและกินให้อิ่มเถอะ”

หนิงซวงพาดหัวบนไหล่ของอินชิงเสวียนอย่างไม่เต็มใจ แล้วจึงพยักหน้า

ทหารองครักษ์มอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ม้าตัวนี้มีจิตวิญญาณจริงๆ สามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์ได้ด้วย

อินชิงเสวียนมอบสายบังเหียนให้เขา “ไปเตรียมอาหารดีๆ ให้ด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ทหารองครักษ์จึงนำม้าไปที่คอกม้าในวัง

อินชิงเสวียนหายใจเข้า เดินตรงเข้าไปในสวนบุปผา กวาดสายตามองไปรอบๆ พอเห็นว่าปลอดคนแล้วนางก็เข้าไปในมิติ

นางรู้สึกไม่สบายมากจนต้องลงไปแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณทันที

แต่ในใจนางรู้สึกไม่มีพอใจเล็กน้อย ตัวเองหายตัวไปนะ เย่‍จิ่ง‍อวี้ไม่ออกไปตามหานาง แต่กลับมีแก่จิตแก่ใจไปคุยธุระเรื่องอื่นได้ ผู้ชายเป็นคนจำพวกหลักลอยเชื่อถือไม่ได้จริงๆ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลขนาดนั้นแล้ว

อาบน้ำสบายๆ ในน้ำพุวิญญาณและถือโอกาสงีบหลับไปด้วย

ห้องหนังสือ

เย่‍จิ่ง‍อวี้ได้หารือกับขุนนางกรมพิธีการทั้งสองคนเรื่องพิธีเคลื่อนพระศพในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ทั้งสองคนทูลลาไปแล้ว เขาก็เริ่มกระวนกระวายใจอีกครั้ง

เวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับเสวียน‍เอ๋อร์อีก

หรือว่าอา‍ซือ‍หลานพานางออกจากเมืองหลวงได้จริงๆ

หากเป็นเช่นนี้ เขาต้องวางแผนล่วงหน้าแล้ว

หลังจากปิดม้วนไม้ไผ่แล้ว เขาก็พาหลี่เต๋อฝูไปสำนักหมอหลวง

กวนฮั่นหลินอาการดีขึ้นมาก กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวพูดคุยกับหมอหลวงอยู่

แม้ว่าจอมพลเฒ่าจะแก่แล้ว แต่สมรรถภาพทางกายของเขาก็ดีกว่าคนหนุ่มสาวทั่วไป รักษาตัวเวลาเพียงห้าหรือหกวัน เสียงของเขาจะดังกังวานเหมือนกระพรวนอีกครั้ง

เมื่อเห็นเย่‍จิ่ง‍อวี้ เขาก็โค้งคำนับทันทีและกล่าวว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยื่นมือออกมาช่วยเขาลุกขึ้น “จอมพลเฒ่าตามสบาย”

กวนฮั่นหลินตกใจ รีบพูดขึ้นทันที “ฝ่าบาทต้องทบทวนให้รอบคอบก่อน แม้ว่าไทเฮาจะสิ้นพระชนม์แล้ว แต่อันผิงอ๋องก็ยังเฝ้าดูอยู่ หากฝ่าบาทผลีผลามออกจากเมืองหลวงไป อาจมีเกิดเหตุร้ายขึ้นในวังได้”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดเบาๆ “ข้าตัดสินใจแล้ว จอมพลเฒ่าไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้าอีก ข้าเป็นหนี้เสวียน‍เอ๋อร์มากมาย หากข้าช่วยนางออกมาจากความโชคร้ายนั้นไม่ได้ จะเหมาะสมกับการเป็นสามีของนางได้อย่างไร”

“ฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้ดีก่อนดีกว่า เจียงวูอยู่ไกลจากที่นี่ เส้นทางยังไม่แน่นอน...”

เย่‍จิ่ง‍อวี้โบกมือ พูดตัดบทจอมพลเฒ่ากวน

“ข้าต้องการเพียงกองทัพตระกูลกวนเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นข้าก็วางแผนไว้แล้ว จอมพลเฒ่าพักฟื้นในวังให้สบายเถิด และกวนเซี่ยวได้รับการคุ้มครองโดยองครักษ์เงาของข้า ท่านสามารถวางใจได้”

เมื่อเห็นท่าทางมุ่งมั่นของเย่‍จิ่ง‍อวี้ กวนฮั่นหลินก็รู้ว่าเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้

เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงภาวนาให้อินชิงเสวียนกลับมาเร็วๆ เท่านั้น

เรื่งที่ฮ่องเต้นำทัพไปด้วยตัวเอง ไม่เคยเกิดขึ้นมานานนับศตวรรษแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ราชวงศ์ต้าโจวก็คงไม่ต่างจากการจบสิ้นแล้ว

ขณะที่จอมพลเฒ่ากวนกำลังคิด อินชิงเสวียนก็เช็ดร่างกายของนางและคลานออกมาจากน้ำพุวิญญาณ

อาการปวดระบมที่ขาหายไปแล้ว ร่างกายสดชื่นขึ้น และความเมื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งคืนก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

เมื่อเห็นกระพรวนทองวางอยู่บนพื้น อินชิงเสวียนก็หยิบมันขึ้นมาแล้วเขย่า เป็นเสียงที่น่าฟังทีเดียว ถ้าเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงเห็นมัน เขาจะชอบมันอย่างแน่นอน จากนั้นก็คิดว่านี่คือเครื่องมือสื่อสารภายในสำนักของต่งจื่ออวี๋ ดังนั้นจึงไม่ควรนำมาเล่นดีกว่า

นางสวมเสื้อผ้าและออกจากมิติ ทันทีที่นางยืนอยู่บนเส้นทางเล็กๆ ในสวน นางก็เห็นเย่‍จิ่ง‍อวี้เดินจากถนนกรวดจากด้านนอกเข้ามาด้วยใบหน้าที่เย็นชา

หลี่เต๋อฝูที่เดินตามหลังเขา สีหน้าก็ดูไม่ดีเช่นกัน

อินชิงเสวียนนั่งยองๆ พลางคิดในใจ เขาเป็นกังวลเพราะตัวเองหรือเปล่า

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินหลี่เต๋อฝูกระซิบ “ฝ่าบาทพระองค์ต้องทบทวนให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีฮ่องเต้พระองค์ใดเคยนำกองทัพไปพิชิตเจียงวูด้วยตัวเอง เจียงวูเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ เมื่อแม่ทัพอินกลับมาที่ราชสำนัก เขาจะต้องไปกวาดล้างได้ในคราวเดียวแน่นอน และดินปืนก็ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว หลังจากงานศพของไทเฮาก็สามารถส่งไปที่ด่านถงกู่ได้เลย”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ตวาดอย่างเย็นชา “หุบปาก แม้แต่เจ้าก็ยังมาพูดจู้จี้กับข้างั้นรึ ถ้าข้าไม่สามารถปกป้องแม้แต่สตรีคนหนึ่งได้ แล้วข้าจะปกป้องประชาชนในบ้านเมืองได้อย่างไร!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์