สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 349

เย่‍จิ่ง‍อวี้ต้องการออกรบด้วยตัวเองงั้นหรือ

และเพื่อตัวนางเองอีกด้วย?

อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจ และรู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกัน

นอกจากย่าของนางแล้ว ไม่มีใครดีต่อนางอย่าที่สุดขนาดนี้เลย

ทันใดนั้นนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วเดินออกจากทางเส้นเล็กไป

“ฝ่าบาท หม่อมฉันกลับมาแล้ว”

เสียงที่คุ้นเคยทำให้เย่‍จิ่ง‍อวี้ตกใจเล็กน้อย

แล้วก็เห็นร่างอรชรในชุดผ้าโปร่งสีดำยืนอยู่กลางพุ่มไม้เขียวชอุ่ม

ใบหน้าที่งดงามราวกับเครื่องกระเบื้องหยก ส่องแสงเจิดจ้าท่ามกลางประกายแดด

คิ้วบนใบหน้าของนางปัดเบาๆ จมูกเป็นสีดอกกุหลาบ ริมฝีปากแดงระเรื่อ และดวงตารูปกลมโตคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความโกรธและเสียงหัวเราะ นั่นคืออินชิงเสวียนผู้ที่ทำให้เขาถวิลหาทั้งยามหลับยามตื่น

เย่‍จิ่ง‍อวี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น แล้วหยุดลง

เขากระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “ราชาสวรรค์เหนือกว่าพยัคฆ์ประจำถิ่น”

อินชิงเสวียนยิ้ม “ผู้ถือเจดีย์สะกดปีศาจแห่งหนองน้ำ”

“เป็นเจ้าจริงๆ!”

เย่‍จิ่ง‍อวี้รีบก้าวไปข้างหน้าและกอดร่างผอมเพรียวไว้ในอ้อมแขนของเขา

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เค้นออกมาอย่างยากลำบาก “ข้า...เป็นห่วงเจ้ามาก”

อุณหภูมิร่างกายอันอบอุ่นได้ห่อหุ้มอินชิงเสวียน และวงแขนที่แข็งแกร่งคู่นั้นเหมือนจะรัดนางให้เข้าไปอยู่ในร่างของเขาฉะนั้น

เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยคล้ายกลิ่นกล้วยไม้ระคนไปกับกลิ่นชะมด อินชิงเสวียนก็รู้สึกสบายใจอย่างมาก

ในโลกนี้ยังมีคนคนหนึ่งที่คิดถึงตัวเองมาก ไม่ว่านางต้องทนลำบากแค่ไหนในการเดินทางครั้งนี้ ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

นางซบศีรษะบนไหล่ของเขาแล้วพูดเบาๆ “หม่อมฉันก็เป็นห่วงฝ่าบาทเช่นกันเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ปล่อยนางไป แล้วถามทันที “วันที่ผ่านมานี้เจ้าไปไหนมากันแน่”

ซึ่งอินชิงเสวียนก็ถามพร้อมกันว่า “ฝ่าบาทหลีกเลี่ยงจากนักฆ่าได้อย่างไร”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หลุบตาลงและมองดูใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรานี้ เขาไม่ได้เห็นนางมาหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่ความจริงเขากลับรู้สึกราวกับว่าจากไปหลายปี

ความตื่นเต้นที่มากเกินไปทำให้เย่‍จิ่ง‍อวี้เผลอออกแรงมาก

“เจ้าบอกข้าก่อน”

ความเจ็บปวดบนไหล่ทำให้อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว

“เกรงว่าเรื่องมันยาว”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กล่าวว่า “ข้าไม่รีบ เจ้าค่อยๆ พูดมาได้เลย”

“ถ้าอย่างนั้นเราก็คุยกันไปพลางๆ ระหว่างที่เดินกันเถอะ”

อินชิงเสวียนเล่าว่านางถูกอา‍ซือ‍หลานหลอกให้ออกจากเมืองได้อย่างไร ถูกฟางรั่วพาตัวไปอย่างไร รวมถึงเรื่องที่เอาหน้ากากของนางมา เปลี่ยนตัวตนและกลับไปยังเมืองหลวงอย่างไร

เย่‍จิ่ง‍อวี้ไม่เชื่อ ดังนั้นนางจึงหยิบหน้ากากใบหน้าของฟางรั่วออกจากอกเสื้อของนาง

ขณะที่ฟังเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ขมวดคิ้ว แต่เขารู้สึกมีความสุขเล็กน้อยในใจ

สมแล้วที่เป็นหญิงที่เขาตกหลุมรัก นางมีไหวพริบมากพอที่จะคิดวิธีดังกล่าวขึ้นมาได้

อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าหม่อมฉันไปหาอา‍ซือ‍หลานในฐานะฟางรั่ว เขาจะปรากฏตัวอย่างแน่นอน ตราบใดที่เราวางแผนอย่างดี เราก็สามารถจับเขาได้ในคราวเดียว”

เย่‍จิ่ง‍อวี้คัดค้านทันที

“อาซือหลานเจ้าเล่ห์ อีกอย่างเจ้ากับฟางรั่วก็ไม่ได้คุ้นเคยกันมากนัก ต้องมีข้อพิรุธแน่นอน”

อินชิงเสวียนทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ

“แล้วหน้ากากผิวหนังมนุษย์ที่หม่อมฉันเอามามิต้องสูญเปล่าหรอกหรือ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กอดร่างที่เพรียวบางและอ่อนนุ่มของนาง แล้วพูดอย่างอบอุ่น “ข้าหาคนอื่นแทนได้แล้ว องครักษ์เงาของข้าไม่ใช่ผู้ชายทุกคน ปกติจะอยู่แต่ในวังและไม่ค่อยออกไปข้างนอก ข้าหาคนไปตรวจสอบสถานการณ์ในเมืองหลวงก่อน แล้วค่อยปลอมตัวเป็นสตรีชื่อฟางรั่ว”

“แต่คนอื่นไม่คุ้นเคยกับอา‍ซือ‍หลานเท่าหม่อมฉัน”

อินชิงเสวียนยังคงต้องการจับอ๋องขยะด้วยมือของนางเอง

หากไม่ใช่เพราะเจ้าตัวปัญหานี้ ครอบครัวของเจ้าของร่างเดิมคงไม่ถูกเนรเทศเลย และแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ก็คงไม่ถึงขั้นต้องถูกผลักไสไปยังวังเย็น

เรื่องทรยศทั้งหมดนี้เกิดจากเขา แม้ว่าอินชิงเสวียนจะไม่ได้ใกล้ชิดกับครอบครัวของเจ้าของร่างเดิมมากนัก แต่นางก็ยังต้องการทำอะไรบางอย่างให้กับเจ้าของร่างเดิม ถึงอย่างไรนางก็ครอบครองร่างนี้แล้ว

“ไม่เป็นไร ตราบใดที่เข้าใกล้เขา ก็เท่ากับทำสำเร็จไปแล้วตรึ่งหนึ่ง”

เมื่อเห็นการปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเย่‍จิ่ง‍อวี้ อินชิงเสวียนก็ไม่สามารถโต้เถียงกับเขาอีกต่อไป ถึงอย่างไรเขาก็ทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเองเช่นกัน

จากนั้นก็ถามอย่างสงสัย “ฝ่าบาทรู้จักโยวหลานได้อย่างไร จ้าวเอ๋อร์กลับไปที่ตำหนักจินหวูแล้วหรือเพคะ”

พูดด้วยเสียงสะอื้นน้อยๆ ว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

หลี่เต๋อฝูที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาททรงดีกับพระสนมเหยาเฟยจริงๆ เมื่อรู้ว่าพระสนมและองค์ชายน้อยถูกลักพาตัวไป เมื่อวานเขาโกรธมากจนอาเจียนเป็นเลือด โชคดีที่พระสนมปลอดภัยดี ไม่อย่างนั้น ฝ่าบาทคงจะออกรบด้วยตัวเองจริงๆ”

“ฮะ บาดแผลของท่านกระทบกระเทือนอีกแล้วรึ”

อินชิงเสวียนมองดูเย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างเป็นห่วง แล้วก็เห็นว่าใบหน้าของเขาซีดขาวกว่าปกติจริงๆ

“ข้าไม่เป็นไร” หลังจากที่เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดจบ เขาก็หันไปหาหลี่เต๋อฝู

“ถ้าพูดไร้สาระอีก ก็ตบปากตัวเองซะ”

หลี่เต๋อฝูหดคอ และปิดปากแน่น

อินชิงเสวียนจับมือของเย่‍จิ่ง‍อวี้ทันที

“ถือโอกาสตอนที่ยังไม่มืดมาก เรากลับไปที่ตำหนักเฉิงเทียนไปแช่น้ำก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกจากวังตอนที่ฟ้ามืดแล้ว”

เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนดูเป็นห่วงเขามาก เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ และพูดอย่างมีความสุข “เอาตามที่เสวียน‍เอ๋อร์ว่าเถอะ”

ขณะที่คนทั้งสองกลับตำหนักไปนั้น ร่างสีม่วงก็เหาะมาที่บ้านหลังหนึ่ง

เขาเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ ขณะที่คนในห้องกำลังกินข้าวอยู่

เมื่อเห็นคนผู้นั้นก็รู้สึกตกใจ

“ไต้เท้า ท่าน...ท่านมาได้อย่างไร”

ชายชุดสีม่วงดูหล่อเหลา บนริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น “ของที่ข้าต้องการ เจ้าเตรียมไว้พร้อมหรือยัง”

“ได้มาแล้ว”

ชายคนนั้นยื่นห่อเล็กๆ ที่ผูกด้วยผ้าหยาบให้

“ข้าน้อยไม่ได้สังกัดกรมโยธาโดยตรง ต้องพยายามอย่างหนัก แต่ก็ได้มาเพียงอันเดียวเท่านั้น”

“ดีมาก”

ร่างที่สวมชุดสีม่วงก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็ลงมือทำให้คอของชายคนนั้นหัก

นิ้วเรียวของเขาถูบนเสื้อผ้าของชายคนนั้นด้วยความรังเกียจ

เขาพูดอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “นี่คือรางวัลที่ข้าจะให้เจ้า”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์