สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 35

อินชิงเสวียนชะงัก

"ฝ่าบาทเอาสิ่งนี้ไปทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"

เย่จิ่งอวี้ใบหน้าเคร่งขรึม "อย่าพูดไร้สาระ"

เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลามีท่าทีเย็นชา อินชิงเสวียนก็ไม่กล้าพูดจาอีกต่อไป

เธอเรียกเสี่ยวอานจื่อ และพาขันทีพร้อมกับทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งกลับไปที่วังเย็นทันที

เมื่อมาถึงกำแพงข้าง อินชิงเสวียนโยนหินเข้าไปข้างในสามก้อน และพาคนมายังหน้าประตูวัง

หวังเอ้อร์หวู่และหวังต้าหวู่กำลังยืนพิงประตูวังเย็นและงีบหลับอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบลุกขึ้นยืน

เมื่อเห็นกลุ่มขันทีและทหารองครักษ์ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา

"คารวะทุกท่าน"

อินชิงเสวียนถามเสียงเย็นชาว่า "ใครคือหวังเอ้อร์หวู่?"

หวังเอ้อร์หวู่รีบตอบทันที "บ่าวขอรับ ไม่ทราบว่ากงกงมีอะไรจะสั่งหรือ?"

อินชิงเสวียนเดินหน้า ยกมือขึ้นแล้วตบไปที่หน้าเขาสองฉาด

หวังเอ้อร์หวู่ถูกตบจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมา

เมื่อคิดถึงขันทีที่เห็นในวันนั้น ทันใดนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา หรือว่าความแตกเสียแล้ว?"

เขาคุกเข่าลงดังตึ่ง

"กงกงโปรดอภัยขอรับ"

เมื่ออินชิงเสวียนมองไปที่หน้าเขา ความโกรธก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ จึงยกเท้าเตะไปที่คางของเขา

และพูดเสียงดังว่า "จับสองสารเลวนี้มัดเอาไว้"

ฮ่องเต้ให้ทุกคนมาจัดการธุระกับอินชิงเสวียน จึงไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง

เหล่าทหารองค์รักษ์จับสองพี่น้องตระกูลหวังมัดเอาไว้โดยไม่ปริปากพูดสักคำ

อินชิงเสวียนพูดต่อไปว่า "เปิดประตูวังเย็น"

เสี่ยวอานจื่อเดินไปข้างหน้าและค้นกุญแจออกมา จากนั้นก็ไขแม่กุญแจที่หน้าประตู

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูดังเอ๊ยดอ๊าด หวังเอ้อร์หวู่ก็รู้สึกชาไปทั้งหัว

"กงกงโปรดไว้ชีวิตด้วยๆ"

อินชิงเสวียนกลัวว่าหากเดินเข้าไปข้างใน คนเหล่านี้จะเจอเจ้าหมาน้อย จึงตะโกนเสียงดังอยู่ที่หน้าประตูวังว่า "พี่น้องตระกูลหวังไม่รักษากฎระเบียบ จึงสั่งลงโทษตามกฎวัง ณ ที่ตรงนี้ จากนั้นลงโทษโบยหลังจนกว่าชีวิตหาไม่ เริ่มลงโทษตั้งแต่บัดนี้"

พี่น้องตระกูลหวังลนลานขึ้นมาทันที เหงื่อหยดไหลเป็นสาย

"กงกงโปรดไว้ชีวิตด้วยๆ"

ยิ่งไปกว่านั้นหวังต้าหวู่ยังพูดแฉออกมาด้วยตัวเอง ร้องคร่ำครวญว่า "เขาเข้าไปในวังเย็นเองคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับบ่าว ขอกงกงเมตตาด้วย"

อินชิงเสวียนยิ้มแสยะและมองพวกเขา ริมฝีปากบางขยับและพูดว่า

"ลงมือ"

พูดจบก็เดินเข้าไปในวังเย็น

ณ ตอนนี้เจ้าหมาน้อยเพิ่งดื่มนมเสร็จ กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องข้างใน

อวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ได้ยินเสียงเปิดประตูจึงรีบวิ่งออกมาตรวจดู

ทว่ากลับเห็นอินชิงเสวียนในชุดขันที ในมืออุ้มโกศใบหนึ่ง กำลังเดินเข้ามาจากข้างนอก

"อย่าพูดจามากมาย รีบไปหากระดูกมาสักสองสามท่อน"

ทั้งสองคนหันหน้ามองกัน ในวังแบบนี้จะไปหากระดูกมาจากที่ไหนกัน

ยายหลี่ถามอย่างอดไม่ได้ว่า "พระสนม พระองค์จะเอาไปทำอะไรหรือเพคะ?"

"ข้าบอกกับฝ่าบาทไปว่าอินชิงเสวียนตายไปแล้ว เขาก็เลยให้ข้าเอาอัฐิกลับไป เรื่องอื่นถ้าให้เล่ามันยาว ข้าจะหาเวลากลับมาอธิบายใหม่"

อินชิงเสวียนเพิ่งพูดจบ ข้างนอกก็มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดสาหัสของพี่น้องตระกูลหวังดังขึ้น

ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายต่างก็ขนลุกซู่

"นั่นคือ..."

"ข้ามาจัดการสองสารเลวตามรับสั่งของฝ่าบาท เริ่มจากทำให้พวกมันกลายเป็นขันที และลงโทษด้วยการโบย พวกเจ้าไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว"

อินชิงเสวียนพูดจบก็ขนลุกจนตัวสั่นเช่นกัน

เสียงร้องโหยหวนน่าอนาจ แต่คนแบบนี้ไม่คู่ควรที่จะสงสารจริงๆ

แต่คงไม่มีทางที่จะได้รับพระกรุณาในทุกๆ เรื่อง

ดังนั้นตนเองจะลืมตัวเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เป็นอันขาด

เมื่อนึกย้อนไปตอนที่วอนขอเย่จิ่งอวี้เมื่อสักครู่ อินชิงเสวียนก็เหงื่อตกอย่างห้ามไม่ได้

ต่อไปห้ามวู่วามเช่นนี้อีกแล้ว

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็อุ้มโกศมาถึงตรงหน้าประตูแล้ว

เสี่ยวอานจื่อเอามือปิดปาก มองดูสองพี่น้องตระกูลหวังที่โดนทุบตีจนเนื้อหนังเละเป็นโจ๊ก

"พวกเจ้าไปตักน้ำมาล้างคราบเลือดตรงหน้าประตูวังเย็นเสียหน่อย ส่วนคนอื่นๆ ยกสองสารเลวนี้ไปโยนทิ้งที่สุสานศพไร้ญาติ"

เสี่ยวอานจื่อเป็นลูกศิษย์ของหลี่เต๋อฝู คำพูดจึงมีน้ำหนักพอสมควร ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปทำงานทันที

เสี่ยวอานจื่อหันไปพูดกับอินชิงเสวียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่อว่า "เสี่ยวเสวียนจื่อ เรากลับไปรายงานผลกันเถอะ"

"อืม"

อินชิงเสวียนอุ้มโกศอัฐิไว้ และคอยจำทางตลอดที่เดิน

ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายคงมีสิ่งต่างๆ อยากถามมากมายแน่นอน ดังนั้นตนเองจะต้องหาเวลากลับมาให้เร็วที่สุด

กลุ่มคนเดินอย่างรีบร้อนตลอดทางจนมาถึงห้องหนังสือ

เสี่ยวอานจื่อยื่นนิ้วจิ้มไปที่แผ่นหลังของอินชิงเสวียนทีหนึ่ง

"รีบเข้าไปรายงานผลเถิด"

อินชิงเสวียนถูกจิ้มที่เอวทีหนึ่ง ก็รีบก้มโค้งตัวลง

"ฝ่าบาท บ่าวนำอัฐิของพระสนมกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้ตอบรับคำ พร้อมถามขึ้นขณะที่กำลังตรวจตราฎีกา "ธุระของเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง?"

"เรียบร้อยแล้ว ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ"

อินชิงเสวียนวางโกศไว้ด้านหนึ่ง แล้วคุกเข่าขอบพระทัย

ในใจกลับรู้สึกกังวล เกิดว่าเย่จิ่งอวี้พบว่าไม่ใช่กระดูกของมนุษย์ ควรจะรับมืออย่างไรดี?

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็เห็นเย่จิ่งอวี้วางฎีกาลงแล้วเดินมาทางโกศอัฐิ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์