สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 36

หัวใจของอินชิงเสวียนเต้นโครมครามราวกับจะกระเด็นออกมาจากอก

รีบเอ่ยขึ้นทันควัน “กระดูกส่วนใหญ่ของพระสนมเน่าเปื่อยไปมากแล้ว กระหม่อมเก็บได้เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ...”

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองโถแล้วพูดเสียงเรียบ “มีก็ดีแล้ว หลี่เต๋อฝู ส่งกระดูกไปที่หอสวดมนต์ เก็บไว้ทำพิธีในภายหลัง”

ครั้นได้ยินดังนี้ อินชิงเสวียนก็โล่งอกในที่สุด เดิมคิดว่าทรราชผู้นี้ต้องการจะบดขยี้เจ้าของร่างเดิมให้เหลือเพียงเถ้าถ่านเสียอีก

หลี่เต๋อฝูเหลือบมองอินชิงเสวียนแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงที่บีบให้เล็กแหลมว่า “กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ขณะที่มองดูหลี่เต๋อฝูหยิบขวดโหลออกไป อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจเฮือก นับว่าเย่จิ่งอวี้ยังคงมีมโนธรรมอยู่บ้าง

ทว่ากลับได้ยินเย่จิ่งอวี้กล่าวเสียงเรียบ “โครงการผันน้ำใต้ขึ้นเหนือที่เจ้าพูดถึง เราได้ส่งคนไปทำตามนั้นแล้ว หากสามารถปลูกข้าวสาลีได้ ก็จะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เราให้เวลาเจ้าคิดสองสามวันว่าอยากได้รางวัลอะไร เพียงแต่จะออกจากวังไม่ได้”

อินชิงเสวียนแอบกลอกตา ไม่ออกจากวังก็ได้ เช่นนั้นเอาเงินก็แล้วกัน

“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมไม่ต้องการออกจากวังอีกแล้ว เพื่อประโยชน์ของปวงประชา แม้ต้องร่างกายต้องแหลกสลาย กระหม่อมก็จะพยายามปลูกข้าวสาลีให้จงได้ เพียงแต่...กระหม่อมมีความต้องการที่ไม่สมควรอยู่ ขอทรงโปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงทุ้มลึกของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากเหนือศีรษะ

“ว่ามา”

อินชิงเสวียนพูดอย่างระมัดระวัง “ขอทรงโปรดอนุญาตให้กระหม่อมเดินไปมาได้อย่างอิสระในวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดถึงน้องสาว อยากกลับไปพบพวกนางบ้างเป็นครั้งคราว”

เย่จิ่งอวี้ปรายตามองนาง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “สาวใช้ที่แต่งเข้าบ้านตามภรรยาของอินชิงเสวียนน่าจะอยู่ในจวนแม่ทัพตั้งแต่ยังเยาว์ เหตุใดนางถึงเป็นน้องสาวของเจ้าได้”

อินชิงเสวียนรีบพูดทันที “ครอบครัวของกระหม่อมยากจน ดังนั้นจึงต้องขายน้องสาวให้จวนแม่ทัพ เดิมทีคิดว่ากระหม่อมจะสามารถร่ำเรียนสูงๆ ได้ เพื่อที่จะเปลี่ยนสถานะของครอบครัว แต่ดันเกิดมาโง่เรียนไม่เก่ง สุดท้ายก็ได้เป็นขันทีในวัง”

เมื่ออินชิงเสวียนกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาทั้งดูหงุดหงิดและเศร้าใจ อากัปกิริยาทั้งหมดทั้งมวลล้วนพอเหมาะพอดี

เย่จิ่งอวี้ประสานมือไว้ด้านหลังแล้วพูดว่า “ใช่ว่าเจ้าจะเป็นคนไร้ประโยชน์เสียทีเดียว หากเจ้าไม่ได้ร่ำเรียนมา คงไม่สามารถคิดแผนการอันชาญฉลาดเช่นนี้ออกมาได้ เพียงแค่เจ้าเกิดผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น”

ในขณะที่พูด เย่จิ่งอวี้เดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบป้ายตราคำสั่งจากโต๊ะแล้วโยนให้อินชิงเสวียน

“เห็นแก่ที่เจ้าอุทิศตนทำงานเพื่อเรา เราจะให้รางวัลเจ้าด้วยป้ายตราคำสั่งที่อนุญาตให้เจ้าเดินไปมาได้อย่างอิสระในวัง แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า ชายหญิงแตกต่าง ไม่ควรอยู่ในวังเย็นนานนัก จะได้ไม่เป็นขี้ปากผู้อื่น”

อินชิงเสวียนรับป้ายแขวนเอวทันที ดูมีน้ำหนักดีทีเดียว คงเป็นทองคำบริสุทธิ์ คุ้มค่าเงินไม่น้อยเลย

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาท”

เมื่อเห็นรอยยิ้มเริงร่าของบ่าวรับใช้หน้ามน อารมณ์ของเย่จิ่งอวี้ก็ดีขึ้นพิกล

“เจ้าออกไปก่อนเถอะ เรายังมีฎีกาต้องสะสางอีก”

อินชิงเสวียนถามอย่างประจบประแจงทันที “พระองค์ไม่ต้องการให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่จำเป็น เจ้ายืนอยู่ที่นี่รังแต่จะทำให้เราเสียสมาธิเท่านั้น”

หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบ เขาก็ก้มหน้าก้มตาสะสางฎีกาทันที

อินชิงเสวียนหยิบป้ายตราคำสั่งและออกจากห้องทันที

เสี่ยวอานจื่อที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าพัดตัวเอง เมื่อเห็นป้ายตราคำสั่งในมือของอินชิงเสวียน ก็อดประหลาดใจเสียมิได้

โน้มตัวเข้าไปพูดว่า “ฝ่าบาทประทานป้ายทองประจำพระองค์ให้เจ้าด้วย!”

อินชิงเสวียนไม่ค่อยเข้าใจนัก เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ป้ายทองประจำพระองค์คือสิ่งใด”

ขณะที่เสี่ยวอานจื่อกำลังจะพูด เขาก็เห็นหลี่เต๋อฝูรีบเดินกลับมาจากด้านนอกตำหนัก จึงรีบหุบปากทันที

อินชิงเสวียนก็ทำตามเขา ยืนอยู่ข้างๆ การยืนนี้ต้องยืนถึงสองชั่วยาม อินชิงเสวียนร้อนจนหน้ามืดตาลาย ปวดเมื่อยหลังไปหมด

การรับใช้ฮ่องเต้ไม่ใช่งานที่ง่ายจริงๆ เมื่อเมล็ดพันธุ์โตขึ้น นางไม่เพียงจะเอาเงินเท่านั้น แต่ยังจะเอาตำแหน่งขุนนางเล็กๆ อีกด้วย

เมื่อคิดได้ดังนี้ อินชิงเสวียนก็มีพลังฮึดสู้อีกครั้ง

ในชั่วพริบตา ดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตกแล้ว และในที่สุดเย่จิ่งอวี้ก็ออกมาจากห้องหนังสือ

หลี่เต๋อฝูติดตามอยู่ข้างๆ เขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ตอนที่กระหม่อมไปที่หอสวดมนต์ พระสนมเสียนเฟยได้คัดลอกพระคัมภีร์ครบหนึ่งร้อยจบแล้ว และให้กระหม่อมนำมาให้ฝ่าบาทได้ตรวจดู”

ขณะที่อินชิงเสวียนสูดดมด้วยความละโมบอยู่นั้น กลับได้ยินเย่จิ่งอวี้เอ่ยขึ้นเบาๆ “พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน ให้เสี่ยวเสวียนจื่อรับใช้ที่นี่”

หลี่เต๋อฝูเหลือบมองอินชิงเสวียนด้วยความอิจฉาริษยา จากนั้นจึงนำกลุ่มขันทีและนางกำนัลออกไป

อินชิงเสวียนอดตะลึงเสียมิได้

ไม่นะ เย่จิ่งอวี้อยากให้ตัวเองช่วยอาบน้ำให้เขารึ

เสียงหน่ายใจของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นมา

“ยังไม่เข้ามาถอดอาภรณ์ให้เราอีก”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนจำใจต้องวิ่งเข้าไปหาเขา

เย่จิ่งอวี้ยื่นผายมือออก รออินชิงเสวียนถอดอาภรณ์ให้ตน

ด้วยความพยายามอย่างมาก ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ดึงผ้าคาดเอวออก เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มปลายจมูก

เสื้อคลุมมังกรที่ถูกรัดไว้แน่นก็คลายออก เมื่อมองไปที่กล้ามเนื้อหน้าท้องของเย่จิ่งอวี้ ใบหน้าของอินชิงเสวียนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

ต้องบอกว่ารูปร่างของเย่จิ่งอวี้นั้นไม่ใช่รูปร่างดีธรรมดาเท่านั้น แต่เรียกได้ว่าเป็นบุคคลในตำนานที่ดูผอมเมื่อสวมใส่อาภรณ์ แต่ครั้นถอดอาภรณ์ก็มีกล้ามเนื้อแน่นๆ

ซึ่งเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก!

ถ้าไอ้สารเลวผู้นี้ไม่ใช่ฮ่องเต้ ไม่แน่ว่าอินชิงเสวียนอาจจะตั้งตารอให้ระหว่างตัวเองกับเขานั้นมีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ตอนนี้ นางแค่อยากไปให้พ้น

ความเย็นที่ปะทะทรวงอก ทำให้เย่จิ่งอวี้กลับมามีสติอีกครั้ง ครั้นหลุบตาลงก็เห็นบ่าวตัวน้อยมองเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ จึงอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก

“เจ้าไม่เคยรับใช้เจ้านายเลยรึ”

อินชิงเสวียนรีบหันหน้าไปทางด้านข้าง แล้วโพล่งคำเท็จออกมา “ความจริงแล้วกระหม่อมมิได้เป็นคนของหอฉงฮวา แต่เป็นคนสวนของวังหลัง เคยดูแลเฉพาะดอกไม้ใบหญ้าเท่านั้น ฝ่าบาทมิสู้เปลี่ยนคนใหม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์