สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 37

เย่จิ่งอวี้ฮึมฮัมในลำคอเบาๆ

“คราวนี้ดูแลเฉพาะดอกไม้ใบหญ้าเสียแล้ว ปากของเจ้าจะพูดความจริงบ้างได้หรือไม่”

อินชิงเสวียนรีบเอ่ยขึ้น “เรื่องที่กระหม่อมเป็นขันที เป็นเรื่องสัตย์จริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเนิบ “ถ้าเช่นนั้นก็เลิกยืดยาดได้แล้ว”

อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอดอาภรณ์ของเขาออกทีละชิ้น แต่นิ้วเจ้ากรรมก็ดันไปแตะต้องกับผิวกายของเย่จิ่งอวี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรู้สึกได้ว่าผิวนั้นแน่นและเรียบเนียน โดยเฉพาะแนวท่อนแขนอันเรียบเนียน ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งในอัตลักษ์ของความเป็นของบุรุษเพศ

อินชิงเสวียนหายใจเร็วอย่างอธิบายไม่ได้ ใบหน้างามพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือก

เย่จิ่งอวี้ก้มหน้าพิจารณาดูนาง

แต่งงานมีลูกแล้วแท้ๆ ยังจะเขินอายอะไรเช่นนี้

แต่หารู้ไม่ว่าอินชิงเสวียนนั้นไม่เคยแม้แต่จะคุยเรื่องความรักกับชายใดด้วยซ้ำ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่หายใจไม่ทั่วท้องเช่นนี้ นางก็เกือบจะเป็นลมอยู่แล้ว แล้วจึงรีบอุ้มเสื้อคลุมไปแขวนไว้ข้างๆ

ปากก็พึมพำเงียบๆ “ฝ่าบาท พระองค์คงไม่ต้องให้กระหม่อมถอดกางเกงให้ด้วยกระมัง”

เสียงแผ่วเบาของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากด้านหลัง

“ต้องให้เจ้าช่วยอยู่แล้ว”

“หา”

แล้วเส้นผมของอินชิงเสวียนก็ลุกชันขึ้นทันที

“คงไม่ดีกระมัง ฝ่าบาทก็ควรออกกำลังกายด้วย เช่นนี้ถึงจะดีต่อพระวรกาย”

“การออกกำลังกายของเราเกี่ยวอะไรกับการถอดกางเกง”

เสียงเจือแววสัพยอกของเย่จิ่งอวี้ดังมาจากด้านหลัง

ทันใดนั้น อินชิงเสวียนก็นึกถึงคำพูดที่ว่า ‘เอวแข็งแรง ไตแข็งแรง นางก็จะดีใจ’

จึงกล่าวว่า “การก้มตัวสามารถออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้าท้อง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเอวและหน้าท้องได้ หากเอวของฝ่าบาทแข็งแรง ย่อมเป็นผลดีต่อเหล่าพระสนมที่อยู่ในวังหลังพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ารู้ไม่น้อยเลย”

เย่จิ่งอวี้ก้าวเท้ายาวๆ เดินลงไปในสระน้ำ

อุณหภูมิน้ำที่เย็นเล็กน้อยทำให้รู้สึกสดชื่น

แล้วจึงได้ยินอินชิงเสวียนพูดขึ้นว่า “กระหม่อมเคยแต่งงานแล้ว ย่อมรู้เรื่องเป็นธรรมดา”

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาแล้วถามว่า “เจ้าเข้าวัง ภรรยาของเจ้าไม่เสียใจหรอกรึ”

อินชิงเสวียนแสร้งทำเป็นทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้

“ถึงเสียใจแต่ก็จนปัญญา ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อมีชีวิตรอด”

“ผู้ใดบ้างที่ไม่ดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดล่ะ”

เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นในสระน้ำที่ว่างเปล่า ในกระแสเสียงนั้นเจือความสะท้อนใจและความเศร้าโศกที่อธิบายไม่ได้

อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป แล้วจึงพบว่าเย่จิ่งอวี้เดินลงไปในสระน้ำแล้ว

จิตใจพลันผ่อนคลายลงทันที

โชคดีที่เขาไม่ให้ตัวเองถอดกางเกงให้เขาด้วย

“ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องขวนขวาย เพราะใต้หล้าล้วนเป็นของพระองค์อยู่แล้ว”

อินชิงเสวียนกล่าวเสียงประจบ

“แต่เรากลับล้มเหลวในการดูแลแผ่นดิน บัดนี้ภัยแล้งยังไม่ได้รับการแก้ไข และโรคระบาดได้ปะทุขึ้น ผู้คนต่างตกอยู่ภายใต้ความคับแค้นใจอย่างยิ่ง เราก็ยากจะหนีความผิดนั้นได้”

อินชิงเสวียนแขวนชุดคลุมมังกรของเขาเสร็จ จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “โรคระบาดไม่ได้น่ากลัว ตราบใดที่พบวิธีที่เหมาะสมในการจัดการ ก็จะสามารถควบคุมไว้ได้”

“เอ๋”

เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว โรคระบาดแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แม้แต่หมอหลวงก็ยังจนปัญญา บ่าวตัวน้อยผู้นี้กลับคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย

“หรือเจ้ามีวิธีรับมือเช่นนั้นรึ”

อินชิงเสวียนพยักหน้า ปู่ทวดของนางมีตำราโบราณเกี่ยวกับการรักษาโรคยากๆ และซับซ้อน ตอนเด็กๆ อินชิงเสวียนมักจะเปิดอ่านอยู่บ่อยๆ แทบเรียกได้ว่าสามารถท่องจำได้ขึ้นใจ

ครั้นจึงกล่าวว่า “โรคระบาดเกิดขึ้นเพราะอากาศร้อนเกินไป ศพของผู้ลี้ภัยเน่าเปื่อย หลังจากเสียชีวิตจึงทำให้เกิดเชื้อโรค หากต้องการหยุดโรคระบาด จึงต้องเผาศพผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ต้องแยกตัวผู้ที่ติดโรคระบาดออกไป กระหม่อมไร้สามารถ เคยได้ยินมาว่ามียาชนิดหนึ่งสามารถรักษาโรคระบาดได้ ต้องใช้หญ้างูไหมดำ หญ้ารากแดง และสมุนไพรที่มีแก่นสีเขียวอ่อนชนิดต่างๆ นำมาต้มเป็นยา สามารถใช้บรรเทาโรคภัยได้”

เย่จิ่งอวี้เบิกตากว้าง เอ่ยถามขึ้นทันที “วิธีนี้สามารถรักษาโรคระบาดได้จริงหรือ”

“บอกวิธีแก้ไขโรคระบาดให้เราอีกครั้ง”

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้หยิบพู่กันขึ้นมา อินชิงเสวียนก็รีบพูดอีกครั้ง จากนั้นเย่จิ่งอวี้เจ้าคนสารเลวก็เขียนอักษรได้บรรจงงดงามใช้ได้ ตวัดปลายพู่กันดั่งมังกรทะยานหงส์เริงระบำ พู่กันเคลื่อนไหวราวกับการเคลื่อนไหวของมังกรและงู ด้วยจังหวะอันมีพลังรุนแรงทว่าสง่างาม

ขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นั้น เย่จิ่งอวี้ก็เขียนเสร็จแล้ว และยื่นม้วนไม้ไผ่ให้อินชิงเสวียน

“เจ้าลองดูอีกครั้งว่ามีอะไรหายไปหรือไม่”

แคว้นต้าโจวเขียนตัวอักษรจีนแบบดั้งเดิม อินชิงเสวียนก็เคยอ่านหนังสือโบราณตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดังนั้นจึงรู้จักตัวอักษเหล่านี้เป็นธรรมดา

ตรวจดูอย่างละเอียด พยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ขาดหายไปแม้แต่อย่างเดียว คือสิ่งที่เขียนอยู่ในนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ทันทีที่พูดจบ หลี่เต๋อฝูก็ตะโกนที่หน้าประตู “เสนาบดีกรมพระคลังมาถึงแล้ว”

เย่จิ่งอวี้วางพู่กันลงหยกขาวบนโต๊ะและพูดเบาๆ “ให้เขาเข้ามา”

ชายชราอายุหกสิบเศษเดินเข้ามาจากด้านนอก

“กระหม่อมหานสือมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”

“ลุกขึ้น เรื่องโรคระบาด ท่านพอทราบต้นสายปลายเหตุอะไรหรือไม่”

หานสือเพิ่งลุกขึ้นได้ก็ต้องคุกเข่ากลับลงไปอีกหน

เขาพูดเสียงสั่นเทา “ฝ่าบาทโปรดอภัย แม้ว่ากระหม่อมจะได้ตำรับยาจากสำนักหมอหลวงมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล”

เย่จิ่งอวี้โยนม้วนไม้ไผ่ในมือของเขาให้หานสือ

“ลองตำรับยานี้ดู นอกจากนี้ ผู้ที่เสียชีวิตจากโรคระบาดจะต้องเผาร่างทันที และแยกออกจากผู้ที่ไม่ติดเชื้อเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในวงกว้าง ไปทำเถอะ”

หานสือรับตำรับยา คุกเข่าลงแล้วพูดว่า “กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้”

“ไปเถอะ”

หลังจากที่หานสือจากไป เย่จิ่งอวี้ก็หยิบฎีกาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วอ่านนานถึงสองชั่วยาม

อินชิงเสวียนซึ่งยืนอยู่ข้างเขาเป็นเวลากว่าสี่ชั่วยามแล้ว กำลังต้องการนั่งพักสักครู่

ในขณะที่อินชิงเสวียนกำลังจะหาที่นั่งพัก เย่จิ่งอวี้ก็วางพู่กันลง เขาโน้มคอผ่อนคลายกล้ามเนื้ออันแข็งทื่อ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “กลับตำหนักเฉิงเทียน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์