อินชิงเสวียนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ในที่สุดก็จะได้ไปเสียที นางแทบจะหลับอยู่แล้ว
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปวังเย็น หาน้องสาวได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “ไปเถอะ แต่ต้องกลับมาก่อนยามซู”
อินชิงเสวียนรีบโค้งคำนับอย่างตื่นเต้น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้ได้ก้าวออกไปแล้ว
ระหว่างทาง หลี่เต๋อฝูอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างขมขื่น “ฝ่าบาทพระทัยดีกับเสี่ยวเสวียนจื่อเกินไปแล้ว”
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
“แล้วเราไม่ดีต่อเจ้ารึ”
หลี่เต๋อฝูหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ฝ่าบาทย่อมดีต่อกระหม่อมอยู่แล้ว”
เย่จิ่งอวี้เอนตัวพิงราชรถ หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าจะปวดใจไปไย”
หลี่เต๋อฝูเป็นขันทีที่รับใช้เย่จิ่งอวี้มาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ว่าเขาจะพูดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เป็นครั้งคราว ทว่าเย่จิ่งอวี้ก็มิได้มีข้อห้ามมากนัก ถึงจะเป็นนายกับบ่าว แต่ในความรู้สึกกลับเป็นเหมือนญาติสนิทไปแล้ว
หลี่เต๋อฝูยิ้มอย่างขอลุแก่โทษ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงคิดว่าเสี่ยวเสวียนจื่อปลิ้นปล้อน วาจาเป็นเท็จ ไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไรในวังหลวงกันแน่”
เย่จิ่งอวี้ก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน และถึงกับคิดที่จะขอให้คนไปตรวจสอบดูว่าอินชิงเสวียนทำงานในตำหนักใดแน่ แต่อีกใจก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะไปตรวจสอบเรื่องเล็กจ้อยเช่นนี้
ไม่ว่าเขาจะมาจากตำหนักใด ก็ยังคงเป็นบ่าวในวังหลังอยู่เช่นเดิม อยู่ที่ใดก็คงไม่แตกต่างกัน
“เราไม่สนใจว่าเขาเคยทำสิ่งใดมาก่อน ตราบใดที่เขาอยู่ข้างกายเราและไม่ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมก็เพียงพอแล้ว”
สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือพรสวรรค์ของขันทีน้อยผู้นั้น ดังคำกล่าวที่ว่า อย่าถามที่มาของวีรบุรุษ
จากนั้นจึงกล่าวว่า “อันผิงอ๋องไว้ทุกข์ได้ขวบปีแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เราจะเรียกตัวเขากลับ ไม่เช่นนั้นเหล่าบรรดาขุนนางเฒ่าว่างงานทั้งหลายก็จะวิพากษ์วิจารณ์เราอีก”
หลี่เต๋อฝูค้อมกายแล้วถามว่า “ฝ่าบาทตั้งใจจะส่งผู้ใดไปรับเขา”
เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบ “ให้เสนาบดีกรมพิธีการไปก็แล้วกัน เจ้าก็ตามไปด้วย ไปเป็นตัวแทนของเรา”
หลี่เต๋อฝูก็มีความสุขขึ้นมาทันที
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
ดูเหมือนว่าตัวเองยังมีความสำคัญในสายพระเนตรของฝ่าบาทอยู่
“ฝ่าบาทจะให้พวกกระหม่อมเดินทางเมื่อใด”
“พรุ่งนี้”
หลี่เต๋อฝูถามอีก “กระหม่อมต้องนำคนไปมากน้อยเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้าไร้อาราณ์ “สิบคนก็พอ”
ครั้นได้ยินมาถึงตรงนี้ หลี่เต๋อฝูก็โค้งริมฝีปากขึ้น
ฝ่าบาททำเช่นนี้ช่างสุดยอดจริงๆ
คัดเลือกคนเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่อันผิงอ๋อง แต่ในด้านขบวนเกียรติยศกลับไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ในขณะที่นายกับบ่าวกำลังคุยกัน อินชิงเสวียนก็กลับมาถึงวังเย็นแล้ว
แม้ว่าอินชิงเสวียนจะจำเส้นทางได้อย่างแม่นยำ แต่นางก็ต้องถามนางกำนัลถึงสองคน จึงกลับมาถึงวังเย็นได้
เดินไปดูที่ประตูหน้า คราบเลือดถูกชะล้างออกไปหมดแล้ว แต่กลับไม่มีทหารองค์รักษ์เฝ้าประตู
ประตูไม้กระดำกระด่างขนาดใหญ่สองบานตั้งอยู่ที่นั่น ประตูนั้นทั้งหนาและดำมืด
อินชิงเสวียนขว้างก้อนหินสามก้อนไปที่ลานด้านนอก จากนั้นก็มาถึงประตูสุนัข
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินอวิ๋นฉ่ายถามจากข้างใน “ผู้ใด”
อินชิงเสวียนส่งเสียงตอบรับ
“ข้าเอง”
อวิ๋นฉ่ายใช้กำลังทั้งหมดของตนอย่างรวดเร็วเพื่อเคลื่อนหินที่ขวางทางเข้าออกไป
เมื่ออินชิงเสวียนเข้าไปในประตูสุนัขอย่างราบรื่น ทันใดนั้นอวิ๋นฉ่ายก็กอดนางไว้ด้วยความดีใจ
อวิ๋นฉ่ายอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง เมื่อรู้ว่าทหารองครักษ์ที่ช่วยซื้อของให้พระสนมก็คือฝ่าบาท
“พระสนม ท่านทำการค้ากับฮ่องเต้แล้วรึ”
เรื่องนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ
ยายหลี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน พระสนมกล้าหาญมาก!
“นี่...ถ้าฝ่าบาททรงทราบล่ะ จะทำเช่นไรดี พระสนมควรรีบออกไปจากที่นี่ดีกว่าเพคะ!”
อินชิงเสวียนยิ้มอย่างมั่นใจ “ตอนนี้ที่เขาขอให้ข้าช่วยปลูกเมล็ดพันธุ์ที่เทพเซียนมอบให้ ย่อมไม่ทำอะไรข้าแน่ ข้าจะอาศัยจังหวะนี้ คิดหาวิธีที่จะช่วยพวกเราออกจากวังหลวงโดยเร็วที่สุด”
อวิ๋นฉ่ายกล่าวอย่างเป็นกังวล “พระสนม รับใช้ข้างกายฝ่าบาทนั้นเสี่ยงเกินไป ถึงอย่างไรพวกเราก็มีอาหารและเครื่องดื่ม แล้วค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ปัญหาก็ได้”
อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ
“พวกเราจะปล่อยให้ยืดเยื้อไม่ได้ ถ้าเกิดมีคนสังเกตเห็นเจ้าหมาน้อย จะกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะการตายของข้า”
ยายหลี่รีบเอ่ยถามขึ้น “กระดูกแมวพวกนั้นหลอกฝ่าบาทได้รึ”
อินชิงเสวียนพูดด้วยความโกรธ “เขาไม่ได้ดู คงไม่สนใจที่จะดูด้วยซ้ำ คนชาติสุนัขผู้นี้ ช่างเป็นชายชั่วที่ไร้น้ำใจไร้คุณธรรมจริงๆ”
เจ้าหมาน้อยดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความทุกข์ของมารดา รีบยื่นมือเล็กจ้อยออกไปสัมผัสใบหน้าของนางทันที ราวกับกำลังปลอบอินชิงเสวียนอยู่ฉะนั้น
อินชิงเสวียนจับมือเล็กป้อมของเขาไว้ นางไม่ควรด่าคนต่อหน้าลูกเลย ประเดี๋ยวลูกจะพลอยได้รับผลกระทบที่ไม่ดีไปด้วย
นางจูบมือเล็กป้อมของเขา แล้วหันไปหาทั้งสองคนแล้วพูดว่า “เย่จิ่งอวี้ให้ข้ากลับไปก่อนยามซู ข้าอยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้ หากพวกเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกข้า”
พวกนางทั้งสองส่ายศีรษะพร้อมกัน
“สิ่งที่พระสนมทิ้งไว้ก็มีมากพอแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้วเพคะ”
อินชิงเสวียนเหลือบมองฟ้าคำนวณเวลา แล้วมอบเจ้าหมาน้อยให้กับยายหลี่
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เย่จิ่งอวี้หาเรื่อง”
เจ้าหมาน้อยดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของอินชิงเสวียน เขาเบะปากเล็กร้องไห้จ้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...