สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 351

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วงาม

นางมีความประทับใจที่ดีต่อเย่จั้น เขาเป็นคนที่พึ่งพาได้

อีกทั้งเขายังมีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง และยังมีกุศโลบายอีกมากมาย หากสามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ จะช่วยเย่จิ่งอวี้ได้มากโข

หากเขาไปในตอนนี้ เย่จิ่งอวี้ก็จะไม่มีผู้ใดที่สามารถเชื่อถือได้อีกแล้ว

“ในเมืองซุ่ยหานไม่มีนายพลท่านอื่นเลยหรือ?”

“ตอนนี้มีเพียงผู้คุมเมืองสองนาย เกรงว่าจะสกัดกั้นได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น”

เย่จิ่งอวี้มาที่ด้านหน้าหน้าต่าง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกระสับกระส่ายเล็กน้อย

“อันที่จริงเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้รับข่าวด่วนจากเมืองซุ่ยหาน”

อินชิงเสวียนถอนหายใจออกมา

“น่าเสียดายที่ท่านพ่อข้ากลับเมืองหลวงแล้ว มิเช่นนั้นคงมีรับสั่งพระราชโองการให้พวกเขาอยู่สกัดกั้นสักพักก่อน”

“เป็นจริงดังนั้น จะรับสั่งราชโองการตอนนี้ก็สายไปแล้ว”

เย่จิ่งอวี้พูดอย่างทำอะไรไม่ได้ และพูดกับหลี่เต๋อฝูว่า “รีบไปส่งข่าวให้เสด็จอาเข้าวัง”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เย่จั้นก็เดินเข้ามาจากด้านนอก

“ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”

เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปพยุงเขาขึ้น “เสด็จอาไม่ต้องมากพิธี”

เย่จั้นเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นอินชิงเสวียนยืนอยู่ข้างกายเย่จิ่งอวี้ ใบหน้าก็เผยความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย

“พระสนมเหยาเฟยนาง...”

อินชิงเสวียนหัวเราะอย่างอึดอัด

“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ส่งคนตามหา ข้ากลับมาแล้ว”

หากนับรวมครั้งนี้ นางได้หายตัวไปถึงสองครั้ง นับว่าน่าขายหน้าเลยทีเดียว

เย่จั้นยังคงคิดว่าเย่จิ่งอวี้เรียกตัวเองมาที่นี่ ก็เพื่อรายงานเขาว่าอินชิงเสวียนกลับมาแล้ว

ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “กลับมาก็ดีแล้ว พระสนมไม่เป็นอะไร ฝ่าบาทก็ทรงสบายใจ”

อินชิงเสวียนหันไปอวยพรให้เขา จากนั้นก็ถอยออกไปอีกด้าน

เย่จั้นพูดขึ้นอีกว่า “กระหม่อมจะให้ทหารเปลวเพลิงแดงกลับไปที่จวนอ๋อง เพื่อไม่ให้รบกวนความสงบสุขของประชาชน”

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “ควรถอยทัพได้แล้ว ข้าเรียกเสด็จอามาเพื่ออยากบอกเสด็จอาว่า เมืองซุ่ยหานมีอุบัติภัยเกิดขึ้นบ้างแล้ว”

เย่จั้นเปลี่ยนสีหน้าในทันที “ไม่ใช่ว่าเป่ยมู่ต๋ากำลังเคลื่อนไหวที่จะก่อการร้ายอีกแล้วนะ”

เย่จิ่งอวี้หยิบจดหมายลับขึ้นมา และยื่นให้กับเย่จั้น

“ไม่แน่ว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายกว่าที่เสด็จอาคิดไว้ ข่าวสารที่ข้าได้รับก็คือ เป่ยมู่ต๋าได้ทำการโจมตีเมืองแล้ว”

เย่จั้นร้อนใจทันที “กระหม่อมควรรีบกลับไปในตอนนี้”

เย่จิ่งอวี้ขวางเขาไว้

“ไม่ว่ารีบร้อนเพียงใดก็ขาดวันนี้ไปไม่ได้ เสด็จอากลับไปจัดตั้งกองทัพก่อนเถิด พรุ่งนี้จะเป็นวันรัฐพิธีศพของไทเฮา เสด็จอาเดินทางไปวันมะรืนจะดีกว่า”

เย่จั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลาไปจัดทัพก่อน”

เขาคารวะเสร็จก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองเงาหลังของเย่จั้น อินชิงเสวียนก็เม้มปากเล็กน้อย

ยอดฝีมือหนึ่งคนต้องจากไป ก็เหมือนว่าเย่จิ่งอวี้เสียแขนไปหนึ่งข้าง โชคดีที่อินจ้งจะกลับเมืองหลวงแล้ว อินปู้อวี่พี่รองของเจ้าของร่างเดิมก็เป็นผู้ที่มีวิชาการต่อสู้แข็งแกร่ง หากมีพวกเขาสองพ่อลูกอยู่ที่เมืองหลวง นับว่าไม่แย่ไปกว่าเย่จั้นเลย

ทันใดนั้นเอง อินชิงเสวียนก็นึกถึงอินสิงอวิ๋นที่ถูกคุมขังอยู่ที่เจียงวู ในใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา

หากอินจ้งรู้ เขาจะต้องยกทัพไปช่วยลูกชาย อินชิงเสวียนยังคงมีความเป็นกังวลในเรื่องนี้

เมื่อลองคิดกลับกัน ตอนนี้ได้ผลิตดินปืนออกมาได้แล้ว ในยุคสมัยที่ยังคงใช้อาวุธเย็นเช่นนี้ ดินปืนก็คือทางลัดที่ดีนี่เอง อีกทั้งด้านนั้นยังมีทหารม้าพร้อมทั้งกองทัพโล่ขนาดใหญ่ของจังเถี่ยและสวีเหลียง ตอนนี้ขาดเพียงแค่นายพลที่เชี่ยวชาญในการนำทัพ

หากอินจ้งมุ่งหน้าไปเจียงวูและรวบรวมกำลังทหาร จะต้องได้ผลที่ดีแน่

เมื่อคิดได้เช่นนี้ อินชิงเสวียนกลับเฝ้ารอให้พ่อลูกอินจ้งรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็ว

“กำลังคิดสิ่งใดอยู่?”

เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นข้างหู

จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความอิจฉา “ของที่ดีเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงมอบให้เจ้า หรือว่ามีแผนการอะไรซ่อนไว้?”

อินชิงเสวียนกลอกตามองบนให้เย่จิ่งอวี้ และพูดขึ้นว่า “มีแผนการที่ไหนกันเพคะ เขาไม่เคยเห็นหม่อมฉันเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าหม่อมฉันยืนอยู่ด้านหน้าเขาตอนนี้ เขาก็จำหม่อมฉันไม่ได้หรอกเพคะ”

“ครั้งต่อไปหากพบกับผู้ชาย ไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ เจ้าต้องบอกกับพวกเขาว่า ตัวเองแต่งงานมีลูกและสามีแล้ว”

เย่จิ่งอวี้พลิกตัวขึ้นมา พร้อมใบหน้าที่บึ้งตึง

อินชิงเสวียนแค่นหัวเราะออกมา

“ฝ่าบาทหึงหวงเป็นด้วยหรือเพคะ?”

เย่จิ่งอวี้ถามกลับอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาทไม่ใช่คนหรืออย่างไร?”

เย่จิ่งอวี้ในตอนนี้ราวกับเด็กน้อยที่โดนแย่งอมยิ้ม ซึ่งกำลังหน้างอบูดบึ้ง ดวงตาคู่นั้นที่ปกติจะดูสงบและมั่นคงกลับกลายเป็นเด็กไปแล้ว

อินชิงเสวียนเห็นว่าน่าขัน จึงลากเสียงยาวพูดง้อว่า “เพคะ จะเชื่อฝ่าบาททุกคำเลยเพคะ”

เย่จิ่งอวี้คลายสีหน้าลง “ค่อยว่าง่ายหน่อย ไปกันเถอะ”

ทั้งสองออกจากวังไปตามกัน หลังจากนั้นสิบห้านาที ก็มาถึงบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ข้างร้านขายยาเทียนอัน

“ที่นี่แหละ”

เย่จิ่งอวี้เพิ่งมาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ครื้นเครง

“เสียงจ้าวเอ๋อร์”

อินชิงเสวียนตื่นเต้นเล็กน้อย และเอื้อมไปผลักประตูออก

พบกับชายผมขาวสวมชุดคลุมหยาบ ยืนอยู่ใต้ต้นเอล์มเก่าแก่ขนาดใหญ่

เขาอุ้มจ้าวเอ๋อร์ด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างถือลูกสุนัขที่ทำจากฟาง และกำลังหยอกล้อกับเด็กน้อยอยู่

จ้าวเอ๋อร์ยื่นมือเล็กๆ ออกไปจับลูกสุนัขไว้ เมื่อผู้ชายปล่อยมือ ลูกสุนัขก็ตกเข้าในแขนเสื้อขนาดใหญ่ของเขาทันที

จ้าวเอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ราวกับไม่เข้าใจว่าลูกสุนัขหายไปได้อย่างไร เมื่อชายคนนั้นสะบัดข้อมือ ลูกสุนัขก็อยู่ในมือของเขาอีกครั้ง จ้าวเอ๋อร์ปรบมือน้อยๆ ในทันที พร้อมกับหัวเราะร่าออกมา

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า จ้าวเอ๋อร์หัวหน้าเล็กๆ มา เขามองทั้งสองคนด้วยดวงตากลมโตที่เป็นประกาย

จากนั้นก็ยื่นมือเล็กๆ ออกมาด้วยความดีใจ พร้อมกับกระโจนมาทางด้านนี้และตะโกนเสียงอ้อแอ้ขึ้นมา “แม่แม่ เด็จพ่อ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์