สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 356

อินชิงเสวียนไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า

“ฝ่าบาทไม่ให้พระสนมสวีอยู่ด้วยหรือเพคะ นางเป็นถึงผู้ช่วยชีวิตของฝ่าบาท”

เมื่อมองเห็นดวงตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยคำถาม เย่จิ่งอวี้หัวเราะอย่างอดไม่ได้

“ข้าได้เลื่อนตำแหน่งให้สวีเม่าแล้ว ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณบ้างเล็กน้อย อีกทั้งเสนาบดีกรมพิธีการก็อายุมากแล้ว อีกไม่เกินสองสามปีก็จะขอลาออกกลับบ้านเกิด ข้าจะยกตำแหน่งเสนาบดีให้กับสวีเม่า สวีจือย่วนคงเข้าใจในความลำบากใจของข้า”

ผู้ช่วยชีวิตก็เรื่องหนึ่ง ความรักก็เป็นอีกเรื่องเช่นกัน

เขารักอินชิงเสวียน แต่ไม่ใช่เพราะความงามของนาง

เย่จิ่งอวี้เป็นคนรอบคอบมาก และเขาไม่เพียงแค่มองสิ่งต่างๆ ตามรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

สิ่งที่เขารักจริงๆ ก็คือความรู้และความสามารถของอินชิงเสวียน

โรคระบาด น้ำท่วม ภัยพิบัติทางทหาร ไม่ว่างานจะยากแค่ไหน นางล้วนสามารถหาทางแก้ไขได้เสมอ

สำหรับเขาแล้ว อินชิงเสวียนไม่ใช่แค่นางสนมธรรมดาคนหนึ่งมานานแล้ว แต่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่เขาขาดไปไม่ได้

ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่รักแรกพบ แต่มันก่อเกิดอย่างช้าๆ และระเบิดออกมาในที่สุด ซึ่งแข็งแกร่งกว่ารักแรกพบมาก

เขาไม่ใจบุญสุนทานเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน และไม่ต้องการผู้หญิงมากมายขนาดนั้น แทนที่จะทนดูพวกนางต่อสู้จนตายอย่างหดหู่ในวัง คงจะดีกว่าที่จะให้อิสรภาพแก่พวกนาง และปล่อยให้พวกนางพบกับชีวิตที่ตัวเองต้องการ

เพียงแต่ว่าระบบราชวงศ์ที่สืบทอดกันมาเป็นพันๆ ปีแล้ว แม้ว่าเย่จิ่งอวี้อยากแก้ไข ก็ไม่อาจทำได้ในชั่วข้ามคืน

ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่กล้าให้สัญญาแก่อินชิงเสวียน เขาหวังว่าจะใช้การกระทำให้นางรับรู้ถึงความรักที่มีค่า และไม่ใช่การพ่นคำว่ารักแค่เพียงลมปากอยู่ทั้งวัน

อินชิงเสวียนพูดขัดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทมีพระกว้างขวางนะเพคะ หากหม่อมฉันจำไม่ผิด เสนาบดีถือเป็นขุนนางระดับสองใช่ไหมเพคะ”

เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “ข้าไม่อยากให้สถานะแก่สวีจือย่วน จึงทำได้เพียงชดเชยให้กับท่านพ่อของนางเท่านั้น”

อินชิงเสวียนเบ้ปาก และพูดขึ้นด้วยความอิจฉา “วังหลังมีตำแหน่งนางสนมอยู่สี่ตำแหน่ง ตอนนี้ยังว่างอีกสองตำแหน่ง ไม่มีผู้ใดขวางฝ่าบาท อยากให้ก็ให้สิเพคะ”

เย่จิ่งอวี้เลิกตาคม และถามขึ้นอย่างเย้าแหย่ “ถือว่าเจ้ากำลังหึงหวงใช่หรือไม่?”

อินชิงเสวียนหันหน้าไปอีกทาง พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง “หม่อมฉันหึงหวงที่ไหนกันเพคะ อย่างไรผู้หญิงที่อยู่ในวังหลังล้วนเป็นคนของพระองค์ทั้งนั้น”

เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นจากเบาะนุ่ม พร้อมกับดึงอินชิงเสวียนขึ้นมาด้วย

เขาลดสายตาลง และสายตาอันนุ่มนวลที่มองอินชิงเสวียน ทำให้เขาเห็นใบหน้าที่งดงามละเอียดอ่อนของนาง

แม้ว่าใบหน้านี้จะไม่ได้แต่งแต้มสีสัน แต่กลับมีเสน่ห์เสียยิ่งกว่าผู้หญิงที่แต่งหน้าอยู่มาก

“เสวียนเอ๋อร์หึงหวงข้าจะยิ่งทำให้ข้ามีความสุขมากขึ้น ข้ารู้สึกเสมอว่าข้าและเจ้าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ทุกครั้งที่ข้าเห็นเจ้ามองจ้าวเอ๋อร์ด้วยสายตาที่อ่อนโยน ข้ามักอิจฉาเป็นอย่างมาก ข้าเฝ้าฝันมาตลอดว่าจะมีสักวันที่เจ้าจะมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น”

อินชิงเสวียนหมดคำจะพูด พ่อที่ไหนอิจฉาลูกชายของตัวเอง

เย่จิ่งอวี้อ้าแขนกว้างและสวมกอดนาง

“รอท่านพ่อเจ้ากลับราชสำนักก่อน ข้าจะคนราชสกุลให้แก่เจ้า และแต่งตั้งให้เจ้าเป็นฮองเฮา เพื่อชดเชยเวลาหนึ่งปีกว่าที่เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม”

เสียงของเย่จิ่งอวี้อ่อนโยนเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่ดังก้องให้ความรู้สึกถึงพลังที่สร้างความมั่นใจ

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเขา อินชิงเสวียนราวกับกำลังฝัน

ตัวเองเป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่เพียงออกจากวังเย็นมาได้ แต่ยังจะถูกแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา ทุกอย่างมันเกินจริงไปหน่อย

เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเบิกตากว้าง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไร เย่จิ่งอวี้จึงหัวเราะเบาๆ

“ทำไมหรือ ดีใจจนพูดไม่เป็นเลยใช่ไหม?”

อินชิงเสวียนทำเสียงฮึดฮัดด้วยความเย่อหยิ่ง

“ข้าไม่สนใจตำแหน่งฮองเฮาเลยเพคะ ขอเพียงครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน แค่นี้ก็มากเพียงพอสำหรับข้าแล้ว”

เย่จิ่งอวี้ก้มศีรษะลง ริมฝีปากบางและเย็นเล็กน้อยของเขาจูบหน้าผากนางอย่างอ่อนโยน

“เสวียนเอ๋อร์พูดถูกต้อง ไม่ว่าเป็นฝ่าบาท หรือเป็นฮองเฮา ก็เป็นเพียงแค่หัวโขนเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดสำคัญมากกว่าครอบครัวอีกแล้ว”

อินชิงเสวียนพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วงามขึ้นมา

“ไม่รู้ว่าคนบ้านั่นจะสอนข้าบรรเลงเพลงอะไร และทำไมต้องเป็นเวลาเจ็ดวันด้วยนะ”

เย่จิ่งอวี้ตบที่หลังของนางเบาๆ พูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ในเมื่อรับปากแล้วก็อย่าคิดมากเลย ข้าจะไปด้วยกันกับเจ้า ไม่มีทางให้เจ้าต้องเหงาหงอย”

อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างจริงจังว่า “พระองค์เป็นฝ่าบาท อย่าออกจากวังบ่อยจะเป็นการดีกว่านะเพคะ จิ้งอ๋องก็จะไปจากเมืองหลวงในเร็ววันนี้แล้ว องครักษ์เงาก็ถูกส่งไปทำธุระ พระองค์ดูแลความปลอดภัยของตัวเองจะดีกว่า”

ถามขึ้นอย่างทีเล่นทีจริงว่า “ข้าไม่เข้าใจ เรื่องนั้นคือเรื่องไหน?”

อินชิงเสวียนหน้าแดงมากกว่าเดิม คนคนนี้ช่างหน้าไม่อาย จะจี้ถามเสียให้ได้

นางหันหน้าไปอีกด้านและพูดว่า “ข้าไม่รู้”

ริมฝีปากบางของเย่จิ่งอวี้แนบข้างหูของนาง เสียงทุ้มต่ำเริ่มคลุมเครือและน่าสับสนมากขึ้น

“ในเมื่อไม่รู้อะไร ยังกล้าวางยาข้าอีกหรือ”

อินชิงเสวียนใช้แรงกัดริมฝีปาก

“เรื่องเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว ฝ่าบาทอย่าได้รื้อฟื้นสิเพคะ”

“ได้ ข้าไม่พูดแล้ว”

มือของเย่จิ่งอวี้ลอดผ่านใต้เอวของนาง น้ำเสียงแฝงไปด้วยการเกลี้ยกล่อมเล็กน้อย

“ให้ข้ากอดเจ้าก็ได้”

“ไม่เอาเพคะ พระองค์ไปนอนอีกด้าน...”

อินชิงเสวียนยังไม่ทันพูดจบ ริมฝีปากเย็นเฉียบก็ถูกกดลงมา

“อื้อ...”

การขัดขืนของนางกลายเป็นเสียงครวญครางที่น่าอับอายทันที อืม

ปลายลิ้นของเย่จิ่งอวี้เล็ดลอดเข้ามาราวกับงู และลมหายใจของผู้ชายก็แทรกเข้ามาเต็มรูจมูกของนางทันที

อินชิงเสวียนเวียนหัวเล็กน้อย ความรู้สึกขาดออกซิเจนทำให้สมองของนางว่างเปล่า

นางจับคอเสื้อของเย่จิ่งอวี้ไว้แน่นอย่างทำอะไรไม่ถูก

เมื่อโอบกอดร่างที่อ่อนนุ่มและมีกลิ่นหอมนี้ไว้ แขนของเย่จิ่งอวี้ก็กระชับขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมของเขาค่อยๆ พร่ามัว และแสดงความปรารถนาอันแรงกล้า และเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องครางขึ้นมาเบาๆ

“เสวียนเอ๋อร์คนดี ข้าคิดถึงเจ้า”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์