สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 357

เสียงแหบพร่าตรงเข้ามาในหู แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์ที่ไม่อาจอธิบายได้

อินชิงเสวียนหายใจถี่ขึ้นในทันที ความกังวลใจของนางก็ถึงจุดสูงสุด วันนี้เย่จิ่งอวี้คงไม่คิดที่จะ...

น่ากลัวจัง!

มือที่อบอุ่นเล็กน้อยของเขาเอื้อมลงมาที่ชายเสื้อผ้าของ และสถานที่ที่ถูกเย่จิ่งอวี้สัมผัส กลับร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลน

อินชิงเสวียนรู้สึกเพียงความร้อนทั่วร่างกาย อบอ้าวเสียจนนางหายใจไม่ออก

นางอยากขัดขืน แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ความรู้สึกเช่นนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่ใช้พลังในมิติ

สายตาของเย่จิ่งอวี้เริ่มเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ จูบของเขาช่างอดกลั้นและชั่งใจ ทว่าดูเหมือนว่ามันจวนจะถึงจุดสูงสุดและสามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ

เขาไม่อาจพึงพอใจกับความละเอียดอ่อนบนฝ่ามือได้อีกต่อไป และเขาต้องการมันเพิ่มมากขึ้น

นิ้วเรียวยาวเลิกหยกคาดเอวของอินชิงเสวียนออก และจับเอวเรียวไว้ในอ้อมแขนของเขาให้แน่น

อินชิงเสวียนได้ยินเสียงหยกคาดเอวกระทบกัน เสื้อคลุมอันกว้างขวางของเย่จิ่งอวี้กระจายออกในที่สุด ผิวกายของเขาปกคลุมร่างกายของนางเหมือนกับลูกไฟ ราวกับว่ามันสามารถกลืนกินนางได้ทุกเมื่อ

ในระหว่างที่ลืมตัว จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่รีบเร่งวิ่งเข้ามา

“ฝ่าบาท อันผิงอ๋องเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ชะงักในทันที พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไม่ขอพบ”

หลี่เต๋อฝูพูดขึ้นว่า “อันผิงอ๋องรออยู่ด้านนอกแล้ว...”

อินชิงเสวียนมีสติในทันที และรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออก

พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท พวกเรา...ยังมีเวลาอีกมาก เขาต้องมาด้วยเรื่องสำคัญแน่”

ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงอันผิงอ๋องก่นด่าอยู่ด้านนอก “พวกทาสสุนัข ไสหัวไปให้หมด”

อินชิงเสวียนรีบคว้ากระโปรงที่คลุมไว้อย่างครึ่งๆ กลางๆ ขดหัวและหลับตาลง แก้มสีชมพูของนางราวกับลูกพืชสุกงอม ซึ่งทำให้ผู้คนอยากกัดกินสักคำ

เย่จิ่งอวี้โมโหเล็กน้อย ไม่ง่ายเลยที่เสวียนเอ๋อร์จะยอมใกล้ชิดกับเขาเช่นนี้ กลับถูกไอ้สุนัขตัวนั้นขัดอารมณ์เสียได้

เมื่อมองดูพวงแก้มสีชมพูนั้นอีกครั้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงและจูบที่มุมริมฝีปากของนาง

“เสวียนเอ๋อร์พักผ่อนก่อนเถอะ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็จะกลับมา”

เขาลุกขึ้นจากเตียง คว้าหยกคาดเอวมาสวมไว้ ใบหน้าหล่อเหลาก็เคร่งขรึมในทันที

เมื่อจัดการเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกไปด้านนอกประตูอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นอันผิงอ๋องในชุดไว้ทุกข์ ซึ่งกำลังก่นด่าขันทีน้อยอยู่

“บังอาจนัก!”

เย่จิ่งอวี้ตะคอกเสียงเข้ม และพูดอย่างเยือกเย็นว่า “กล้ามาเอะอะโวยวายในตำหนักเฉิงเทียน หรือว่าท่านอ๋องอยากไปอยู่ไทเฮาแล้วงั้นหรือ?”

อันผิงอ๋องพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยม “พิธีศพของไทเฮา เจ้าเป็นถึงฝ่าบาท กลับไม่ไปเฝ้าพระศพไทเฮา เจ้ายังมีบรรพบุรุษอยู่ในสายตาหรือไม่?”

นับตั้งแต่ไทเฮาสิ้นพระชนม์ เย่จิ่งอวี้ไปที่ตำหนักฉือหนิงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขากลับคุกเข่าเฝ้าพระศพอยู่ทุกคืน อันผิงอ๋องไม่พอใจอยู่นานแล้ว

วันนี้เขาจงใจมาหาเรื่อง

เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงฮึดฮัด “เจ้ากล้ามาไต่ถามข้าหรือ เชื่อว่าเจ้าก็รู้ว่าเหตุใดไทเฮาจึงสิ้นพระชนม์ ข้าไม่ได้สอบสวนเจ้าก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว”

เย่จิ่งเย่ามองอย่างเย้ยหยัน

“ข้ารักษาอาการป่วยอยู่ในจวน ฝ่าบาทจะสอบสวนข้าไปทำไมกัน?”

เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่บนแท่นสูง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการดูหมิ่น

“รากที่ไม่ดีย่อมให้ผลที่ไม่ดี ไทเฮากระทำการเช่นนี้ เจ้าก็คงไม่ดีไปมากกว่านี้หรอก”

เย่จิ่งเย่ากัดฟันกรอดและพูดว่า “เจ้าเองก็เป็นลูกฮ่องเต้องค์ก่อนเช่นกัน หากจะพูดเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร”

“เจ้าได้ความกล้าบ้าบิ่นมาจากที่ใด!”

เรื่องดีๆ ของเย่จิ่งอวี้ถูกคนขัดขวาง เขารู้สึกไม่พอใจมากพออยู่แล้ว

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งเย่ายังกล้าต่อปากต่อคำกับตัวเอง สายตาประกายความอาฆาตออกมา และเขารุดเข้าไปด้านหน้าเขาด้วยความรวดเร็ว

มือที่เย็นเล็กน้อย บีบเข้าที่คอของเย่จิ่งเย่าว่องไวราวกับสายฟ้า

“เชื่อหรือไม่เชื่อ ข้าจะส่งเจ้าไปถามยมบาลดูเอาเอง”

หากอยากมีชีวิตอยากอิสระและสบายใจ มีเพียงการขอเมืองสักแห่ง เพื่อให้ตัวเองได้มีที่ยืนและค่อยหาโอกาสในการโต้กลับ

เย่จิ่งอวี้ยิ้มที่มุมปาก หัวเราเบาๆ และพูดว่า “ที่แท้เสด็จน้องก็มาหาข้าเพราะเรื่องนี้นี่เอง เจ้ามีอะไรก็พูดกันตรงๆ ไม่มีความจำเป็นต้องพูดจากระทบกระทั่งกัน เพื่อทำลายมิตรภาพพี่น้องในตระกูลของเราเลย”

เดิมทีเขาอยากส่งเย่จิ่งเย่าไปเฝ้าสุสานของราชวงศ์หนึ่งปี และคิดหาข้ออ้างในการกำจัดเขาทิ้ง ในเมื่อเขาอยากออกจากเมืองหลวงไปหาที่ตายเอง เช่นนั้นเขาจะสนองความต้องการให้

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ยิ้มได้ ความกล้าบ้าบิ่นของเย่จิ่งเย่าก็แข็งแกร่งมากขึ้น

“ว่าอย่างไร เจ้ารับปากหรือไม่?”

เย่จิ่งอวี้กระตุกที่มุมปาก ยิ้มและพูดว่า “เขตเมืองหวยหนานถือว่าอุดมสมบูรณ์และมีประชากรมาก หากเสด็จน้องไปอยู่ที่นั่น ข้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว”

เย่จิ่งเย่าแอบดีใจ เหตุผลที่เขามาในวันนี้ ก็เพราะกลัวว่าหลังจากงานราชพิธีศพของไทเฮา เย่จิ่งอวี้จะลงมือทำร้ายตัวเอง และเขตเมืองหวยหนานเป็นเมืองทางตอนใต้ที่อุดมสมบูรณ์และมีประชากรมาก เมื่อไปถึงที่นั่น เขาก็จะเป็นเจ้าแผ่นดิน

“ขอบพระทัย เช่นนั้นข้าจะออกเดินทางจากเมืองหลวงในวันมะรืนนี้”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและพูดว่า “ได้ ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”

เมื่อเห็นเขารับปากอย่างว่าง่าย เย่จิ่งเย่ายังคิดว่าเป็นเพราะป้ายละตายอาญาสิทธิ์ที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้ จึงรู้สึกหยิ่งยโสขึ้นมา

“ไม่ต้องไปส่งข้าหรอก ฝ่าบาทได้โปรดไปเตรียมระดมกำลังทหารและม้าให้ข้าเถอะ”

เขานำป้ายละตายอาญาสิทธิ์ใส่เข้าไปในอก

จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็ถามขึ้น “ป้ายทองนี้ เจ้าไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียวสินะ”

เย่จิ่งเย่าหัวเราะร่าและพูดว่า “แน่นอน เสด็จพ่อนำป้ายละตายอาญาสิทธิ์ให้กับข้าทั้งหมด”

เย่จิ่งอวี้กัดฟันกรามหลังและพ่นคำสองคำออกจากลำคอ

“ดีมาก”

เย่จิ่งเย่าเห็นว่าตัวเองบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงไม่อยากพูดอะไรมาก

“ข้าขอกลับไปเฝ้าพระศพก่อน ขอทูลลา”

เย่จิ่งอวี้มองเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“ข้าไม่ส่งนะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์