เมื่อคิดฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็รีบเรียกสติกลับมา
เมื่อแช่น้ำพุวิญญาณเสร็จแล้ว ก็นำผลไม้ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวออกมาจากมิติ
อวิ๋นฉ่ายได้เริ่มรีดแป้งแล้ว เด็กคนนี้มือไม้คล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อยๆ เลยทีเดียว
ยายหลี่กำลังทำไส้อยู่ข้างๆ เสี่ยวอันจื่อก็ไปเรียกเย่จิ่งอวี้ที่ห้องหนังสือ
เมื่อเห็นภาพที่คุ้นเคย อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ ช่างดีมากเลยจริงๆ
นางไม่มีใจทะเยอทะยาน และไม่เคยคิดที่จะเป็นฮองเฮามาก่อน
แต่ถ้าหากไม่เป็น เสี่ยวหนานเฟิงก็จะเป็นองค์รัชทายาทไม่ได้
นี่คือคำสัญญาของเจ้าของร่างเดิ แม้จะมีเพียงนางผู้เดียว แต่ก็ต้องทำให้ได้
เมื่อมองรถเข็นเด็กที่อยู่ด้านนอก อินชิงเสวียนก็คิดถึงเสี่ยวหนานเฟิง ตอนนี้เวลาผ่านไปหนึ่งวันที่ไม่ได้พบกัน ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงตัวเองหรือไม่
ในระหว่างที่ครุ่นคิด ฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก
ร่างสูงยางของคนสองคนเดินเข้ามาจากด้านนอก
คนแรกสวมชุดผ้าแพรสีน้ำเงิน มีขดด้ายสีทองที่คอเสื้อและแขนเสื้อ เสื้อคลุมยาวปักด้วยลายไม้ไผ่สีเขียวเข้มเล็กน้อย ลวดลายไม้ไผ่ที่ขอบเอวทอด้วยด้ายสีทอง ประดับด้วยจี้หยกสีเขียวสองชิ้น หรูหราและสง่างาม
คนหลังสวมชุดคลุมขาวราวหิมะ ไม่มีฝุ่นแปดเปื้อน และใบหน้าของเขาที่อ่อนโยนสง่างาม และดูไม่ธรรมดา
ทั้งสองคนก็คือเย่จิ่งอวี้และเย่จั้น
อินชิงเสวียนรีบอวยพรให้ทั้งสองทันที
“ฝ่าบาท ท่านอ๋อง”
เย่จั้นแสดงความเคารพต่อนาง
“รบกวนท่านแล้ว”
อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ท่านอ๋องเกรงใจเกินไปแล้วเพคะ ได้ยินว่าพรุ่งนี้ท่านอ๋องก็จะกลับเมืองซุ่ยหานแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ จึงอยากให้ท่านอ๋องอยู่ร่วมเสวยอาหารที่นี่ด้วยกันก่อน ท่านอ๋องอย่าได้รังเกียจ”
เย่จั้นยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “การได้กินเกี๊ยวนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด พระสนมเหยาเฟยอย่าได้คิดมาก”
พูดจบก็หยิบตั๋วเงินออกมาจากอ้อมอก
“นี่คือสิ่งที่พระสนมมอบให้ข้าในวันนี้ ตอนนี้แม่ทัพใหญ่จะเดินทางกลับราชสำนักแล้ว ตั๋วเงินก็ควรคืนให้เจ้าของเช่นกัน”
อินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และรับตั๋งเงินกลับมา
พูดด้วยสีหน้าที่ขอบพระคุณ “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะจดจำบุญคุณของท่านอ๋องไว้ วันหน้าหากมีเรื่องใดที่ต้องการให้ข้าช่วย ท่านอ๋องพูดมาได้เลยนะเพคะ”
เย่จั้นจับจ้องสายตาไว้บนหน้านาง แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ก็มลายหายไป
“ขอบพระทัยพระสนม หากมีสิ่งใดที่ต้องการ ข้าจะไม่เกรงใจเลย”
“เอาล่ะ ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน มัวเกรงใจกันก็จะแปลกหน้ากันเปล่าๆ”
เย่จิ่งอวี้พูดจบก็เดินไปที่ศาลาหิน
เมื่อได้กลิ่นที่หอมหวลของอาหาร อวัยวะภายในของเขาก็เริ่มประท้วง
อินชิงเสวียนยิ้มที่มุมปาก “เป็นจริงดังนั้น ท่านอ๋องเชิญเลย”
เพื่อขอบคุณที่เย่จั้นช่วยเหลือตระกูลอิน อินชิงเสวียนตั้งใจใช้คะแนนสะสมเป็นพิเศษเพื่อแลกอาหารจานด่วน
อย่างเช่นเนื้อมื้อกระป๋องมื้อกลางวัน ตีนไก่พริกไทยดองมะนาว หมูกรอบสำเร็จรูป และเป็ดปักกิ่ง ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ใจกว้างที่สุดของนาง
เมื่อมองอาหารที่ไม่เคยพบเจอเหล่านี้ เย่จิ่งอวี้ก็ลงมือเสวยทันที เมื่อชิมกระดูกไก่ที่ตุ๋นในพริกไทยมะนาวดอง รสชาติเปรี้ยวเผ็ดที่เข้าไปในปาก เปิดต่อมรับรสในทันที
กล่าวชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “อร่อยมาก เสด็จอาลองชิมดู”
เย่จั้นก็ชิมไปหนึ่งชิ้น พร้อมพยักหน้าหงึกๆ
“ไม่เลวเลยจริงๆ ไม่คิดว่าคนในตำหนักของพระสนมจะมีฝีมือเช่นนี้”
“เช่นนั้นก็เสวยเยอะๆ นะเพคะ อาหารเหล่านี้จัดเตรียมเพื่อฝ่าบาทและเสด็จอาโดยเฉพาะ ปกติพวกเราไม่ค่อยได้รับประทานอะไรแบบนี้”
“ก็คือสิ่งที่เอาไว้ดูของต่างๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ของฮว๋าเซี่ยเลยเพคะ”
อินชิงเสวียนหยิบโทรศัพท์ออกมา และให้ทั้งสองดูภาพที่แตกต่างกันในตำหนักจินหวู
วันนั้นที่สามารถช่วยเสี่ยวหนานเฟิงได้ เย่จั้นก็ดูตำหนักจินหวูจากในโทรศัพท์ เย่จิ่งอวี้กลับเพิ่งได้เห็นภาพจากกล้องวงจรเป็นครั้งแรก จึงประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
เมื่อก่อนคิดว่าของสิ่งนี้ทำได้เพียงวาดรูปคนออกมา ไม่คิดว่าจะมีความสามารถถึงขนาดนี้
หากติดตั้งของสิ่งนี้ทั่วพระราชวัง เช่นนั้นทุกสิ่งก็ไม่อาจหลบซ่อนได้อีก
จึงพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ของสิ่งนี้ดี ข้าก็อยากได้”
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ยิ้มเหมือนเด็กน้อย อินชิงเสวียนก็ยิ้มตาม
“ได้เพคะ รอหม่อมฉันกลับมาก่อน จะติดตั้งให้ฝ่าบาทด้วยเพคะ”
จากนั้นก็พูดกับเย่จั้นว่า “นำวัตถุนี้ติดตั้งบนหอคอย จะสามารถใช้เพื่อสังเกตทหารของศัตรูได้ ซึ่งน่าจะพอมีประโยชน์บ้าง”
เย่จั้นยิ้มและพูดว่า “นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากถึงจะถูก ข้าขอบพระทัยพระสนมแทนประชาชนเมืองซุ่ยหาน”
หากมีของสิ่งนี้และโกลนม้า ถือว่าเป็นเสือติดปีกเลยทีเดียว เป่ยมู่ต๋าเข้ามาก่อกวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เย่จั้นทนไม่ไหวมานานแล้ว หากกลับเมืองซุ่ยหานครั้งนี้จะต้องกำจัดให้สิ้นซาก
“ท่านอ๋องอย่าได้เกรงใจเลยเพคะ”
อินชิงเสวียนลุกขึ้น พร้อมกับรินเหล้าให้สองอาหลาน จากนั้นก็ถอยไปอีกด้าน
นางมองออกว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมาก วันพรุ่งนี้ก็ต้องแยกจากกันแล้ว จึงมีเรื่องที่อยากพูดคุยกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประเทศชาติหรือเรื่องส่วนตัว การที่นางนั่งฟังอยู่ข้างๆ จึงดูไม่ดีมากนัก
เมื่อออกจากศาลาหิน อินชิงเสวียนก็เข้าไปในมิติ ทำการแลกสิ่งขอ
ที่ใช้ในการติดตั้งกล้องวงจร รวมทั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันลมขนาดเล็ก
เมื่อออกมาก็พบหานปิงวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าซีดขาว
นางคุกเข่าลงใต้ศาลาพร้อมกับพูดทั้งน้ำตาที่ไหลอาบหน้า “ฝ่าบาทโปรดช่วยด้วยเพคะ พระสนมของพวกหม่อมฉันรับประทานเพียงแค่เล็กน้อยก็สลบไป หมอหลวงได้ทำการรักษา บอกว่าพระสนมถูกยาพิษ ขอฝ่าบาทเป็นธุระให้กับพระสนมด้วยนะเพคะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...