“ผู้ที่ชื่อต่งจื่ออวี๋ให้ข้าไว้ บอกว่ามาจากสำนักกระบี่สังหารเพคะ”
อินชิงเสวียนเก็บกระพรวนทองขึ้นมา เสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกระพรวนก็ดังขึ้นอีก
สายตาของเย่จั้นเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้มากเหลือเกิน ตอนที่อาหลีหายตัวไป เขาก็ได้ยินเสียงกระพรวนแบบนี้เช่นกัน
จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักกระบี่สังหารอยู่ที่ใด?”
อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ต่งจื่ออวี๋เคยบอกว่าอยู่ที่ภูเขาหิมะแต่อยู่บนภูเขาหิมะลูกไหน หม่อมฉันไม่อาจทราบได้เพคะ”
เย่จั้นถามอีกว่า “เจ้าสามารถติดต่อต่งจื่ออวี๋ได้หรือไม่?”
อินชิงเสวียนยักไหล่
“เขาบอกว่ากระพรวนพวงนี้สามารถใช้เรียกเขาได้เพียงเวลาค่ำคืนเท่านั้น เกรงว่าตอนนี้จะติดต่อหาเขาไม่ได้”
นางเหลือบมองเย่จั้น และถามอีกว่า “ท่านอ๋องรู้จักกระพรวนนี้ด้วยหรือ?”
เย่จั้นสายตาขรึมลงเล็กน้อย น้ำเสียงก็เย็นลงเล็กน้อย
“กระพรวนนี้อาจเกี่ยวข้องกับท่านอาของเจ้า”
เย่จั้นนำกระพรวนคืนให้กับอินชิงเสวียน พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “วันนั้นที่ข้าให้เจ้าเล่นพิณโบราณตัวนั้น เพราะมีแผนการอย่างอื่นด้วย พิณตัวนั้นมีความพิเศษและไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าอาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับผู้คนในยุทธภพนี้”
อินชิงเสวียนได้ยินก็ทำหน้างุนงง
เหตุใดนางจึงมีท่านอาโผล่ขึ้นมาอีกคน หรือว่าผู้หญิงในรูปที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับนาง ความจริงแล้วเป็นคนในตระกูลอินเช่นกัน?
เย่จั้นพูดต่อว่า “ความจริงพิสูจน์ว่าข้าไม่ได้เดาผิด พิณตัวนั้นควรเป็นของหลี่เฟิ่งอี๋ ผู้เป็นภรรยาของลิ่นเซียว ตามคำเล่าขานกล่าวว่า พิณตัวนี้มีเพียงผู้มีบุญวาสนาจึงจะบรรเลงออกมาได้”
“ทว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องอะไรกับกระพรวนทอง รวมถึงท่านอาของข้า และท่านอาคือผู้ใด?”
ในสมองของอินชิงเสวียนแทบไม่มีความทรงจำของท่านอาเลย
เย่จั้นครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นางมีนามว่าอินหลี นางรู้จักข้าเมื่อสองปีก่อน นางเคยไปที่โรงเตี๊ยมโหย่วเจียและบรรเลงพิณตัวนั้นได้ หลังจากนั้นเพียงวันเดียวก็หายตัวไป ตอนที่ข้าไปตามหานาง ก็ได้ยินเพียงเสียงกระพรวนที่กำลังหายไป”
อินชิงเสวียนทำสีหน้าตกใจ
“หรือว่า... ท่านอาน้อยของข้าคือผู้ที่บรรเลงพิณการเวกเป็นคนที่สาม?”
เย่จั้นพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง สองคนที่เหลือก็คือจังอันหลี่ ผู้ควบคุมดนตรีแห่งกรมพิธีการ และพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน และสำนักของหลี่เฟิ่งอี๋ก็คือหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้เครื่องดนตรีเป็นหลัก”
อินชิงเสวียนยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
“เช่นนั้นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์และสำนักกระบี่สังหารเกี่ยวข้องอะไรกัน?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ข้ามีเพียงสองเบาะแสเท่านั้น ข้าคิดมาตลอดว่าการหายตัวไปของอินหลี ต้องเกี่ยวข้องกับสำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์และกระพรวนทองชิ้นนี้แน่นอน”
“เช่นนั้น... ท่านอาน้อยของข้า... ไม่อยู่กับตระกูลอินงั้นหรือ?”
เหตุใดนางไม่มีความทรงจำเลย ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่มี
“ท่านย่าของเจ้าให้กำเนิดท่านอาน้อยก็ตกเลือดจนตาย ท่านอาน้อยของเจ้ารู้สึกผิดมาตลอดว่าตัวเองทำให้ท่านแม่ต้องตาย เมื่ออายุได้สิบปีก็ออกไปบำเพ็ญเพียร และอยู่ที่วัดสุ่ยจิ้งนอกเมืองมาโดยตลอด”
เย่จั้นมองไปยังด้านหน้า สายตาแฝงไปด้วยความนึกคิดถึงในอดีต แต่กลับผสมผสานความคิดถึงที่ไม่สามารถอธิบายได้
“ข้าได้รู้จักกับนางนับว่ามีวาสนาต่อกันสินะ”
อินชิงเสวียนเข้าใจในทันที คิดว่าเย่จั้นชอบท่านอาน้อยของเจ้าของร่างเดิม ไม่แปลกที่เขาเป็นห่วงเรื่องของตระกูลอินมากขนาดนี้ นี่คงเป็นเพราะการที่รักใคร ก็รักคนที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วยสินะ
“ท่านอ๋องเคยส่งคนออกไปตามหาท่านอาน้อยของข้าด้วยหรือ?”
เสียงของเย่จั้นมีความหดหู่เล็กน้อย
“สองปีนี้ ข้าคอยตามหาตัวนางอยู่ตลอด ถึงนางจะถูกเนรเทศ ก็ยังดีกว่าเงียบหายไปไม่มีข่าวคราวเช่นนี้”
เขาเงยหน้าขึ้น มองไปที่อินชิงเสวียนและพูดว่า “ได้ยินมาว่าคืนนี้เจ้าต้องไปเรียนวิชาพิณกับลิ่นเซียว หากว่าเจ้าพอสนิทสนมกับเขาขึ้นบ้าง ได้โปรดสืบถามเรื่องหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แทนข้าด้วย อีกอย่างก็คือ เจ้าให้ข้ายืมกระพรวนทองก่อนได้หรือไม่ พรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางข้าจะนำไปคืนให้กับเจ้า”
เมื่อเห็นถึงความรักที่เขามีต่อท่านอาน้อย อินชิงเสวียนก็รู้สึกซาบซึ้งใจ และมอบกระพรวนทองให้กับเย่จั้น
จากนั้นก็พูดกำชับว่า “ต่งจื่ออวี๋เป็นผู้ที่มีวิชาการต่อสู้แข็งแกร่งมาก วิชาตัวเบาก็ล้ำเลิศเป็นที่สุด หากไม่มีสิ่งใดร้ายแรง ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ต่อสู้กับเขาเด็ดขาด”
“ข้าได้ให้หลี่เต๋อฝูไปตรวจสอบอย่างละเอียดที่ห้องพระเครื่องต้นแล้ว ไม่ว่าเป็นใคร ข้าจะลงโทษอย่างเด็ดขาด ไม่มีทางอภัยให้อย่างแน่นอน”
เย่จิ่งอวี้พูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ท้องฟ้ากำลังจะมืด อีกไม่นานอินชิงเสวียนก็จะออกจากวังแล้ว
เขาต้องไปส่งสาวน้อย และดูการสอนพิณของคนประหลาดผมขาวว่ามีทักษะที่ลึกซึ้งเพียงใด
สวีจือย่วนรีบดึงชายแขนเสื้อของเย่จิ่งอวี้ไว้
“ฝ่าบาท อยู่กับหม่อมฉันต่ออีกหน่อยได้หรือไม่ หม่อมฉันวิงเวียนศีรษะเหลือเกิน”
นางพยายามลุกขึ้นนั่งบนเตียง และเสื้อคลุมที่นางสวมอยู่ก็หลุดออก เผยให้เห็นปานบนไหล่ของนาง
แม้ว่ารอยปานนั้นจะมีรูปร่างแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่ยังคงสามารถดึงความทรงจำในวัยเด็กของเย่จิ่งอวี้ให้กลับมาได้
เมื่อนึกถึงเด็กสาวที่พยายามใช้แรงลากตัวเองมาถึงวัดร้าง เขาก็ใจอ่อนลง
“ข้ามีเรื่องที่ต้องไปทำอีก จึงอยู่กับเจ้าได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น หมอหลวงบอกว่าเจ้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว เพียงดื่มยาต้มอีกไม่กี่ขนาน ร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติดังเดิม”
สวีจือย่วนกัดริมฝีปากพร้อมพยักหน้า พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่น้อยใจ “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอเพียงฝ่าบาทอยู่ที่นี่ หม่อมฉันจึงจะสบายใจได้เพคะ”
เมื่อสวีจือย่วนพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“ฝ่าบาท พระสนม เหยาเฟยเหนียงเหนียงเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้สีหน้ายิ้มแย้มในทันที ลุกขึ้นและพูดว่า “รีบให้เสวียนเอ๋อร์เข้ามา”
เพียงครู่เดียว อินชิงเสวียนก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างาม พร้อมรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากของนาง
“ข้าเป็นห่วงพระสนมสวีอยู่ตลอด ตอนนี้เห็นว่าเจ้าฟื้นแล้ว ข้าเองก็วางใจ”
ทันใดนั้นสวีจือย่วนก็ขดตัวเข้าไปในเตียง ราวกับนางกำลังกลัวบางสิ่ง
“หม่อมฉันขอถวายบังคมเหยาเฟยเหนียงเหนียง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...