สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 372

วันถัดมา

เย่จิ่งเย่าสวมชุดเกราะอ่อนมุ่งหน้าไปยังสนามฝึก ตามไปด้วยพระชายาเจียงซิ่วหนิงที่อยู่ในสีหน้าบิดเบี้ยว

เพราะไม่รู้ว่าบิดาที่อยู่เจียงวูจะเป็นหรือตาย เจียงซิ่วหนิงจึงไม่อยากออกจากเมืองหลวง

แต่จะทำอย่างไรได้เพราะสตรีในยุคโบราณต้องติดตามสามีไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มีสิทธิ์เป็นอิสระ พอคิดว่าจะต้องเดินทางไกลไปที่เขตเมืองหวยหนาน ไม่รู้ว่าจะต้องกลับมาเมื่อใด ขอบตาของเจียงซิ่วหนิงพลันแดงก่ำ

ทว่าเย่จิ่งเย่ากลับวางท่าผยองด้วยความยินดีปรีดา เพราะทหารม้าจำนวนห้าหมื่นนายที่ได้มานั้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย

ตอนแรกคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ต้องต่อรองกับเขา ให้ทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายก็รู้สึกขอบคุณอย่างสูง ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตกลงง่ายๆ ขนาดนี้

เมื่อคิดว่าตัวเองจะมีเขตการปกครองเป็นของตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ

ครั้นเห็นเจียงซิ่วหนิงเช็ดน้ำตาไม่หยุด ก็ตวาดอย่างอดไม่ได้ “ร้องไห้อะไรกัน ที่ข้าพาเจ้าไปเขตเมืองหวยหนานด้วย ก็เป็นถือเป็นบุญคุณมากแล้ว เจ้าไม่ซาบซึ้งในบุญคุณของข้า แต่เจ้ามาทำหน้าเศร้าหมองร้องไห้ใครดูกัน”

เจียงซิ่วหนิงทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋อง ท่านพ่อของข้าก็คงไม่ต้องไปไกลถึงเจียงวู ตอนนี้ท่านอ๋องทิ้งเขา ส่วนตัวเองก็ออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างไร”

เย่จิ่งเย่าแค่นเสียงหึแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการไปรบทัพจับศึกสร้างผลงาน ก็คงจะไม่รับปากฝ่าบาท แกล้งป่วยเหมือนข้าก็ทำได้ง่ายๆ เองมิใช่รึ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่คือเขาโลภมาก นับว่าสมควรแล้ว”

“ท่าน...”

เจียงซิ่วหนิงตัวสั่นด้วยความโกรธ

นางรู้มานานแล้วว่าเย่จิ่งเย่าเป็นคนไร้คุณธรรมและใจดำ ไม่เช่นนั้นเขาจะทิ้งอินชิงเสวียนมาแต่งงานกับนางแทนได้อย่างไร แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดคำพูดที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ได้

เย่จิ่งเย่าพูดด้วยรอยยิ้มแต่ตาไม่ยิ้มว่า “ทำไม เจ้ากล้ากัดข้างั้นหรือ”

เจียงซิ่วหนิงโกรธมาก จนอดไม่ได้ที่จะจับมือเขาแล้วกัดอย่างแรง

เย่จิ่งเย่าแหกปากร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด และเตะเจียงซิ่วหนิงลงจากหลังม้า

เจียงซิ่วหนิงกลิ้งลงไปที่พื้น เย่จิ่งเย่ายังไม่คลายจากโทสะ จูงม้าไปเหยียบนางซ้ำอีก

ปากก็ยังคงพูดจากระแนะกระแหนไม่เลิก “รูปร่างหน้าตาของเจ้ารึกว่าแย่กว่าอินชิงเสวียน หากข้าไม่เห็นแก่อำนาจทางทหารของพ่อเจ้า ข้าจะแต่งงานกับสตรีพื้นๆ เช่นเจ้าได้อย่างไร”

เจียงซิ่วหนิงกลิ้งหลบไปอีกด้าน แล้วพูดด้วยความโกรธ “เจ้ามันสุนัขจิ้งจอกทะเยอทะยานจริงๆ อย่าคิดว่าพอไปถึงเขตเมืองหวยหนานแล้วฝ่าบาทจะปล่อยเจ้าไป ไม่คิดบ้างหรือว่ามีทหารกี่คนที่ไปเจียงวู จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฝ่าบาทจะยกทหารให้เจ้าห้าหมื่นนาย เย่จิ่งเย่า เจ้าฝันลมๆ แล้งๆ ไปเถอะ”

“หุบปากซะ นังหญิงสารเลวอย่างเจ้าน่ะนะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในมือข้ายังมีป้ายทองอาญาสิทธิ์เว้นตายอีกสองครั้ง แม้ว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้จะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรข้า ในเมื่อหญิงสารเลวอย่างเจ้าไม่อยากไป เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมหวัง”

เขาดึงกระบี่ยาวที่เหน็บอยู่บนเอวออกมา แล้วแทงใส่เจียงซิ่วหนิง

ตอนนี้สงครามในเจียงวูกำลังคับขัน ด่านถงกู่ตกอยู่ในอันตราย โหวเหนือไม่สามารถสร้างผลงานความชอบได้อีก ดังนั้นเจียงซิ่วหนิงจึงหมดประโยชน์ พอไปถึงในเขตเมืองหวยหนาน เขาก็จะมีสตรีอีกนับไม่ถ้วน

ในช่วงเวลาวิกฤติ มีดสั้นเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าลอยออกมาจากที่ใด มันพุ่งเข้าไปปักที่ลำคอของเย่จิ่งเย่าอย่างเหมาะเจาะ

เย่จิ่งเย่ามองดูสนามฝึกที่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงร้อยก้าวด้วยความไม่เชื่อ ที่ตรงนั้น ยังมีทหารห้าหมื่นนาย

เขายื่นมือไขว่คว้าออกไปยังทิศทางของสนามฝึก เลือดในลำคอพุ่งออกมาเหมือนน้ำพุ และทันใดนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังกึกก้อง

ดวงตาที่ไม่ยอมหลับตา กำลังมองไปที่เจียงซิ่วหนิง

เจียงซิ่วหนิงกรีดร้อง ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นสีดำ และหมดสติไป

องครักษ์ตะโกนทันที “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง!”

“ใครก็ได้มาที่นี่หน่อย ท่านอ๋องถูกลอบสังหารแล้ว!”

เมื่อคนที่อยู่ในสนมฝึกได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็ทยอยวิ่งออกมา โดยผู้ที่ออกวิ่งนำมาก็คือแม่ทัพหน้าดำที่เคยดูถูกว่าขันทีปวกเปียกเหมือนไก่อ่อน แม่ทัพซุนมู่ถง

เดิมทีเขาคือผู้สนับสนุนให้เย่จิ่งเย่าครองบัลลังก์ พอเขาได้รู้ว่าตัวเองสามารถออกจากเมืองหลวงพร้อมกับอันผิงอ๋องได้ เขาก็ยินดีปรีดา ออกสั่งการทหารตั้งแต่ยามเช้าตรู่

ทันทีที่ออกไปก็เห็นเย่จิ่งเย่านอนอยู่บนพื้น มีเลือดไหลทะลักออกมาจากลำคอ เขาตกใจมากจนกลิ้งตกลงจากหลังม้า ชักกระบี่ออกมาแล้วตะโกนว่า “จับมือสังหาร จับมือสังหาร!”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วหัวเราะเบาๆ “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่านเสนากวนเหม่อลอยขนาดนี้ หรือว่าในใจกำลังคิดเรื่องใดอยู่”

กวนเมิ่งถิงรีบเอ่ยขึ้นทันควัน “กระหม่อมกำลังคิดถึงการดำรงชีวิตของราษฎรพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ได้เก็บเกี่ยวข้าวสาลีมากมายแล้ว จึงไม่ต้องกังวลในปีหน้า กระหม่อมยังได้ยินมาว่าผู้ลี้ภัยจำนวนมากได้กลับบ้านเกิด ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว”

“หายากที่ท่านเสนาจะมีใจเช่นนี้ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง”

เย่‍จิ่ง‍อวี้กางเสื้อคลุมออก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาว แล้วพูดด้วยเสียงเนิบช้า “ตอนนี้สายยลับของเจียงวูถูกประหารชีวิตหมดแล้ว อ๋องอาซือหลานถูหย่าลาจี๋เล่อของพวกเขาก็ถูกจิ้งอ๋องสังหารแล้วเช่นกัน เมื่อดินปืนของข้าไปถึงเจียงวู ก็จะสามารถพิชิตที่แห่งนั้นให้ราบคาบในคราวเดียว”

เขาหันกลับมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ที่ข้าเชิญท่านเสนามา เพราะอยากบอกข่าวดีนี้กับท่าน”

สีหน้าของกวนเมิ่งถิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

อา‍ซือ‍หลานตายแล้วงั้นหรือ

เป็นไปได้อย่างไร

เขามีวรยุทธ์สูงส่งไหวพริบล้ำเลิศกว่าผู้ใด ทั้งยังพกพิษและหน้ากากที่เอาไว้ปลอมตัวเอาไว้ติดตัวอยู่เสมอ แม้แต่จิ้งอ๋องก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แล้วเขาจะตายได้อย่างไร

เย่‍จิ่ง‍อวี้ต้องหลอกเขาแน่ๆ

ความคิดแวบขึ้นมาในใจ ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความยินดี

“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อคนชั่วช้านั่นถูกประหารชีวิตแล้ว เรื่องการพิชิตเจียงวูก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หันไปมองหน้าเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเห็นท่านเสนาบดีมีความสุขมากเช่นนี้ ก็รู้ว่าท่านจงรักภักดีต่อฮ่องเต้และบ้านเมือง ข้ารู้สึกสบายใจมาก ตอนนี้การเดินหมากจบลงแล้ว ข้าจะไม่รั้งท่านไว้แล้วล่ะ”

กวนเมิ่งถิงลุกขึ้นยืนทันทีและพูดว่า “การเดินหมากของฝ่าบาทนั้นคาดเดาไม่ได้ กระหม่อมแก้ได้ยากจริงๆ กลับไปคราวนี้จะต้องฝึกฝนทักษะการเล่นหมากรุกอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทเสียแรงเปล่าที่ชี้แนะ”

ทันทีที่กวนเมิ่งถิงพูดจบ หลี่เต๋อฝูก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก

เขาพูดด้วยความตื่นตระหนก “ฝ่าบาท อันผิงอ๋องถูกลอบสังหาร สิ้นพระชนม์แล้ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์