สวีจือย่วนตัวสั่นเล็กน้อย กัดริมฝีปากล่างแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉัน...”
“ว่าอย่างไร”
เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาฉายแววประชดประชัน
“เจ้าไม่ชอบเล่นดนตรีให้ข้าฟังไม่ใช่รึ”
“นิ้วหม่อมฉัน...”
ยังไม่ทันที่สวีจือย่วนจะพูดจบ นางถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทุ้มลึกของเย่จิ่งอวี้
เขาหรี่ตาลง ความไม่พอใจปรากฏอยู่ในแววตาแล้ว
“ข้าบอกว่าให้เล่นต่อไป”
“เพคะ”
สวีจือย่วนไม่ทำให้โอรสสวรรค์ขุ่นพระทัย นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดีดพิณต่อไปอย่างจำใจ
ในใจก็อดไม่ได้ที่จะนึกเคียดแค้น
ที่เย่จิ่งอวี้ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะอินชิงเสวียนไปพูดอะไรม่แน่
ทำไมระหว่างคนกับคนถึงไม่ยุติธรรมขนาดนี้
อินชิงเสวียนยังสามารถแต่งตั้งเป็นสนมขั้นเฟยได้ ยังได้พำนักอยู่ในตำหนักจินหวูอันงดงาม
แต่นางกลับต้องด้อยกว่าคนอื่น พักอยู่ในหอสุ่ยอวิ้นที่ติดกับกำแพงวัง
ไม่ยอม ให้ตายก็ไม่ยอม!
นางอิจฉาที่อินชิงเสวียนได้รับความรักจากอินสิงอวิ๋นตัวปลอม และนางยิ่งอิจฉาที่เย่จิ่งอวี้ดีต่อนางมากยิ่งกว่า
ทั้งที่ทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของนาง
ถ้าวันนั้นนางไม่ตกหลุมรักตัวปลอม นางคงไม่ปฏิเสธเย่จิ่งอวี้
เนื่องจากฝ่าบาทอุ้มตัวเองมาที่ตำหนักเฉิงเทียนได้ ย่อมพิสูจน์ได้ว่านางยังมีตำแหน่งอยู่ในใจของเขา
ต่อให้จะเป็นการหลอกลวงแล้วอย่างไรล่ะ
ตราบใดที่นางยืนกราน ใครจะรู้ได้ว่า เป็นคนอื่นที่ช่วยชีวิตเย่จิ่งอวี้ในเวลานั้น
ตอนนี้อาจเป็นบททดสอบของเย่จิ่งอวี้ แม้ว่านางจะดีดพิณจนกระดูกโผล่ แต่นางก็ยังต้องอดทนต่อไป
โดยที่ไม่คาดคิดว่าการบรรเลงนี้กินเวลาไปทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น เย่จิ่งอวี้เปลี่ยนชุดมังกรไปประชุมเช้า แล้วจึงพูดกับสวีจือย่วนเรียบๆ ว่า “ออกไปเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
สวีจือย่วนคุกเข่าลงบนพื้น จงใจแสดงนิ้วที่เปื้อนเลือดของตัวเองให้เห็น
เย่จิ่งอวี้กลับไม่แม้แต่จะมอง
สวีจือย่วนเงยหน้าขึ้น มองไปยังร่างที่สวมชุดคลุมมังกรฮ่องเต้สีอร่ามตา สีเหลืองจางๆ เป็นเหมือนแสงแดดที่ส่องประกาย อันทำให้สวีจือย่วนแสบตา
หานปิงสะอึกสะอื้นเดินออกมา
“นายหญิง...”
“อย่าร้องไห้”
สวีจือย่วนผลักนางออกไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ความจริงที่ว่าข้าอยู่กับฝ่าบาททั้งคืน จะแพร่ไปทั่ววังหลังก่อนรุ่งสาง เจ้าควรจะมีความสุขถึงจะถูก”
“แต่...”
สวีจือย่วนก้าวข้ามธรณีประตู เดินหน้าเชิดชูคออกไปอย่าผ่าเผย
“ไม่มีแต่”
ถึงอย่างอินชิงเสวียนก็ต้องกลับวันอยู่วันยังค่ำ สวีจือย่วนอยากเห็นสีหน้าของนางจริงๆ ว่าเมื่อนางได้ยินข่าวนี้แล้วจะทำหน้าอย่างไร...
บางทีอาจรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในใจ อินชิงเสวียนจามสองครั้งติดๆ
เสี่ยวหนานเฟิงซึ่งอยู่ข้างๆ สะดุ้งตกใจจนเท้ากระตุก
อินชิงเสวียนมองไปที่ท้องฟ้า ฟ้าเพิ่งสาง แล้วนางก็กอดลูกไว้ในอ้อมแขน ตบหลังเบาๆ
เสี่ยวหนานเฟิงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
อินชิงเสวียนไม่ง่วงอีก เพียงพริบตาเดียวนางก็มาอยู่ที่นี่ได้สามวันแล้ว แต่นางไม่สามารถแสดงพลังของเพลงหยกรัตติกาลได้เลย นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้
ตามที่คาดไว้ มือของนางไม่ได้มีไว้สำหรับเล่นพิณและเล่นดนตรีจริง แต่ไปทำงานใช้แรงงานค่อยพอไหวหน่อย
แม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในฐานะสูงศักดิ์เป็นพระสนมของฮ่องเต้ที่มีร่างกายบอบบางนุ่มนวล แต่ในใจของอินชิงเสวียนยังคงเป็นคนหยาบกระด้าง นางไม่ชอบสิ่งนี้จากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ แต่กระโจมยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นกำมะถันฉุนกึก
อูเอินเรียกขุนนางมาหารือกันในตอนเช้า ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร ภายในกระโจมเงียบเชียบจนแทบได้ยินเสียงเข็มตก
เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบ อูเอินก็หันหน้าไปทางจูอวี้เหยียน
“ราชครูเคยได้ยินเรื่องของสิ่งนี้มาก่อนหรือไม่”
จูอวี้เหยียนไม่ได้รับถุงห่อระเบิดที่อาซือหลานส่งกลับมา จึงยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร นางเม้มริมฝีปากแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ราชาเผ่าไม่ต้องกังวล ตามความเห็นของหม่อมฉัน ของสิ่งนี้ไม่ได้มีอานุภาพมากเท่ามดนัก พวกเขาคงมีไม่มาก ตราบใดที่เราต้านทานได้สักสองระลอก พวกเราก็สามารถรักษาความสงบได้”
อูเอินขมวดคิ้ว มันต้องใช้ร่างกายของคนเจียงวูในการต้านทานสิ่งนี้ เขาจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร
หลังจากยึดเมืองรอบนอกแล้ว เขาก็ไม่อยากสู้อีก เป็นจูอวี้เหยียนที่หลอกลวงกองทัพตลอดเวลาและเขาไม่ใช่คนโง่ เขาจะไม่เข้าใจความคิดของจูอวี้เหยียนและอาซือหลานได้อย่างไร แต่ตอนนี้อำนาจส่วนใหญ่ถูกพรากไป ขึ้นหลังเสือแล้วยากที่จะลงมาได้
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ผู้ที่ตายล้วนเป็นลูกหลานชาวเจียงวู แม้ว่าราชครูจะไม่ใช่คนเจียงวู ก็ไม่ควรโหดร้ายขนาดนี้”
จูอวี้เหยียนกล่าวว่า “ราชาเผ่าไม่ต้องกังวล ข้าจะหาวิธีชักจูงให้พวกเขาใช้ของสิ่งนี้ให้หมด”
แล้วนางก็เดินส่ายสะโพกออกมาหยุดอยู่ต่อหน้าอูเอิน และกระซิบคำสองสามคำด้วยเสียงต่ำ
อูเอินเลิกคิ้วขึ้น “พวกเขาจะติดกับได้จริงหรือ”
จูอวี้เหยียนยิ้มอย่างเหยียดหยามและพูดว่า “คนเฝ้าเมืองพวกนั้นก็มีเศษสวะ ในท้องมีแต่อาหารสัตว์ มีอะไรให้กลัว”
อูเอินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ทำตามที่ราชครูว่า พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อนเถอะ”
จูอวี้เหยียนโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วออกจากกระโจม
เมื่อกลับมาถึงที่พักของตัวเอง ใบหน้านั้นกลับบิดเบี้ยว
กู่ที่แสดงพลังชีวิตของอาซือหลานมีอาการอ่อนแอ ต้องเผชิญกับอันตรายบางอย่างแน่นอน
หากนางทิ้งเขาไป นางจะไม่สามารถมีชีวิตรอดในเจียงวูได้ และนางจะต้องตามหาอาซือหลานเดี๋ยวนี้
“เหมย หลาน จู๋ จวี๋”
“บ่าวอยู่นี่”
สาวใช้สี่คนสวมผ้าคลุมสีดำเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยท่าทางนอบน้อม
จูอวี้เหยียนเปิดริมฝีปากสีแดงเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าจเดินทางไปยังต้าโจว เอากู่พลังกำเนิดไปออกตามหาอาซือหลาน ไม่ว่าจะจะต้องจ่ายด้วยสิ่งใด ก็ต้องพาเขากลับมาให้ได้”
ทั้งหมดตอบรับด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ บ่าวจะปฏิบัติตามคำสั่งของราชครู!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...