อวิ๋นฉ่ายโกหกไม่เป็น เมื่อเห็นนางทำท่าทางเช่นนั้น ก็เห็นได้ชัดว่านางมีอะไรจะพูดอีก
อินชิงเสวียนนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร มีอะไรก็พูดมาเถอะ ไม่ต้องอึกๆ อักๆ แล้ว หากให้ข้าได้ยินจากปากของคนอื่น ไม่สู้ให้พวกเจ้าเป็นคนบอกดีกว่า”
ยายหลี่กล่าวว่า “พระสนมคิดมากเกินไปแล้ว ไม่มีอะไรจริงๆ เพคะ”
ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง
“ให้อวิ๋นฉ่ายพูด”
อวิ๋นฉ่ายเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “วันก่อนนายหญิงสวีมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าฝ่าบาทอยู่กับนางทั้งคืน ต้องให้หานปิงประคองกลับตำหนัก หม่อมฉันเห็นว่าสีหน้าของนางดูซีดเซียว การก้าวย่างไม่มั่นคง และมีคราบเลือดบนกระโปรงของนาง ราวกับว่า...เป็นเรื่องจริง”
หัวใจของอินชิงเสวียนรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
ผู้ชายสารเลว คนเลว!
ปากก็บอกว่านางสำคัญกว่าใคร แต่แอบไปนอนกับสตรีคนอื่น
ไร้ยางอาย!
นางระงับความโกรธในใจ แล้วพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอินชิงเสวียนดูไม่สู้ดีนัก ยายหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พระสนม เรื่องนี้...”
ดวงตาของอินชิงเสวียนมืดมัวลง
“ออกไป”
ยายหลี่และคนอื่นๆ ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากห้องโถงกลาง
เมื่อพวกเขาออกไปข้างนอก ยายหลี่อดไม่ได้ที่จะบ่น
“เจ้าก็รู้ว่าพระสนมไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ แล้วทำไมถึงคุมปากตัวเองไม่ได้”
อวิ๋นฉ่ายพูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ “แต่ถ้าข้าไม่บอก ถ้าคนอื่นไปบอกพระสนม นางจะยิ่งโกรธกว่านี้ไม่ใช่รึ”
เสี่ยวอานจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าสวีจือย่วนอาจพูดไม่จริง หากฝ่าบาทให้นางปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแล้วจริงๆ คงไม่ปล่อยให้นางเดินกลับไปที่หอสุ่ยอวิ้นตามลำพังหรอก บางทีนางอาจมีเจตนาแอบแฝงถึงได้จงใจพูดอย่างนั้น”
เสี่ยวอานจื่อยืนอยู่ใต้ชายคา อินชิงเสวียนก็ได้ยินอย่างชัดเจน จนอดสงสัยเสียมิได้
ตั้งแต่ออกจากเรือนจุ้ยหง สวีจือย่วนก็เปลี่ยนไปจริงๆ
กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์มากขึ้น หรือบางทีนางอาจเป็นคนประเภทนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนแรกนางมีความรักจนโงหัวไม่ขึ้น จึงไม่ได้เปิดเผยอุบายมากมาย
เมื่อคิดถึงเย่จิ่งอวี้ที่ช่วยเหลือตัวเองหลายครั้ง และปกป้องตัวเองไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แม้กระทั่งการต่อสู้กับขุนนางเพื่อตัวนางเอง เพลิงโทสะในใจก็ค่อยๆ หายไป
ไม่ควรเชื่อเสียงนกเสียงกาจริงๆ แม้จะเป็นนักโทษประหารชีวิต ก็ต้องให้โอกาสแก้ต่าง
ควรถามเย่จิ่งอวี้ก่อน แล้วค่อยพิจารณาดูอีกที...
ขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้ ก็เห็นหลี่เต๋อฝูเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างหลังเขา ล้วนถือถาดต่างๆ มากมาย ทั้งกระโปรงผ้าแพรไหมสีแดงลูกซิ่งขลิบเย็บหุ้มริมผ้าด้วยสีทอง รองเท้าปากสี่เหลี่ยมปักลายเมฆาด้วยด้ายสีทอง ปิ่นปักผมลูกปัดสีเขียวชนิดต่างๆ ตลอดจนตราหยกสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเท่าฝ่ามือ ของทุกชิ้นล้วนปักอย่างประณีตและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
ทันทีที่หลี่เต๋อฝูเข้าประตูมา เขาก็พูดอย่างมีความสุข “กระหม่อมหลี่เต๋อฝู ขอแสดงความยินดีกับพระสนมเหยาเฟย”
อินชิงเสวียนยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ยินดีด้วยเรื่องอันใด”
“หลังจากพระสนมเหยาเฟยฟังราชโองการจบ ก็จะเข้าใจ”
หลังจากที่หลี่เต๋อฝูพูดจบ เขาก็กางราชโองการออก และอ่านด้วยเสียงเล็กแหลม “พระสนมเหยาเฟยรับบราชโองการ”
อวิ๋นฉ่ายและคนอื่นๆ ตามเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง เมื่อได้ยินคำว่าราชโองการ พวกเขาก็คุกเข่าลงด้วยความเคารพ
หลี่เต๋อฝูกระแอมในลำคอแล้วพูดว่า “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้มีบัญชา พระสนมเหยาเฟยนอบน้อมถ่อมตน มุมานะบากบั่น อ่อนหวานมีคุณธรรม สร้างความปรองดองในวัง ทั้งยังมีผลงานในการทำดินปืนเพื่อช่วยเหลือบ้านเมือง วันนี้จึงมีพระราชกฤษฎีกาให้แต่งตั้งเหยาเฟยขึ้นเป็นเจียฮุ่ยหวงกุ้ยเฟย”
อินชิงเสวียนตกตะลึงไปชั่วขณะ
เย่จิ่งอวี้บอกว่าเขาจะประทานรางวัลให้นางเรื่องการทำดินปืน แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะอวยยศให้นางขึ้นเป็นหวงกุ้ยเฟยเร็วขนาดนี้
เสี่ยวอานจื่อและอวิ๋นฉ่ายมีความสุขมากจนลืมตัว เพราะนี่เป็นถึงหวงกุ้ยเฟยเพียงคนเดียวในวังหลัง
ยายหลี่ก็ตาแดงเช่นกัน ทนอยู่ในวังเย็นมาเป็นปี ในที่สุดช่วงเวลาดีๆ ก็มาถึง
นี่คือสิ่งที่ย่าพูดกับอารองของนาง ซึ่งมันก็ใช้ได้กับนางและเย่จิ่งอวี้ด้วย
“ขอบคุณหลี่กงกงที่แจ้งให้ทราบ ข้าจะไปรีบไปโดยเร็ว”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอตัวก่อน”
ทันทีที่หลี่เต๋อฝูโบกมือ ขันทีก็วางถาดทั้งหมดบนเก้าอี้ตัวยาวทันที จากนั้นจึงทำพิธีทูลลาตามฉบับคนในวัง
หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว อวิ๋นฉ่ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น นางจับมือของอินชิงเสวียน แล้วพูดทั้งสะอื้นว่า “พระสนม ตอนนี้ท่านเป็นหวงกุ้ยเฟยแล้ว พวกเราจะมีชีวิตดีๆ แล้ว”
เสี่ยวอานจื่อก็เช็ดตาของเขาเช่นกัน พอหวนคิดว่าเสี่ยวเสวียนจื่อต้องอยู่ในวังเย็นมากว่าหนึ่งปี กว่าจะมาถึงวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ทางด้านยายหลี่ก็ร้องไห้สะอื้นก่อนนานแล้ว
อินชิงเสวียนเห็นอาการของพวกเขาแล้วก็รู้สึกอึดอัดชอบกล ซึ่งสิ่งที่นางทนไม่ได้มากที่สุดคือความรู้สึกสะเทือนอารมณ์
“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี ต้องดีใจสิถึงจะถูก”
เสี่ยวอานจื่อพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ พวกเราต้องหัวเราะ”
หลังจากพูดจบเขาก็หัวเราะออกมา
อวิ๋นฉ่ายมองเขาเหมือนมองคนโง่ แล้วพูดกับอินชิงเสวียน “พระสนม หม่อมฉันจะไปช่วยท่านผลัดเปลี่ยนเครื่องทรงเพคะ!”
อินชิงเสวียนไม่รู้วิธีสวมชุดที่ซับซ้อนเช่นนี้จริงๆ ดังนั้นนางจึงพยักหน้า
และสิบห้านาทีต่อมา อินชิงเสวียนก็แต่งตัวเต็มยศ
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางแต่งตัวอย่างประณีต เมื่อมองใบหน้าในกระจก นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เจ้าของร่างเดิมมีใบหน้าที่สวยงามจริงๆ ตอนนี้ได้ถูกนางมาได้ช่วงต่อแล้ว นางจะต้องปกป้องอย่างดี ต้องไม่ปล่อยให้บุปผางดงามดอกนี้ต้องเหี่ยวเฉาไป
หลังจากมองไปรอบๆ นางก็ลุกขึ้นยืนด้วยความพึงพอใจ
“ปะ ไปที่ห้องหนังสือกันเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...