อินปู้อวี่หน้าแดงเถือก จนไม่กล้าคีบอาหารกินเลย
เมื่อเห็นเขาดื่มแต่สุรา อินชิงเสวียนก็รีบคีบเกี๊ยวให้เขา
พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาแต่ดื่มสุราจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พี่รองกินอะไรอย่างอื่นบ้าง”
อินปู้อวี่เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ น้องสาวยังนึกถึงเขาอยู่ เกี๊ยวนี้อร่อยมากจริงๆ
เมื่อเห็นฝ่าบาทพูดคุยกับผู้เป็นพ่อ เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทันที “ยังมีอีกหรือไม่ พอแบ่งให้พี่เอาไปให้ท่านแม่รองกับน้องเล็กด้วยได้หรือไม่”
อินชิงเสวียนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นแล้วภาพของสตรีที่อ่อนโยนและเด็กหญิงตัวเล็กที่ไร้เดียงสาและมีชีวิตชีวาก็ปรากฏขึ้นในใจของนาง
นางลืมไปแล้วโดยสิ้นเชิง ว่าเจ้าของร่างเดิมก็มีท่านแม่รองและน้องสาวต่างมารดาด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมอาจไม่ชอบใจท่านแม่รองคนนี้ จึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพวกนางสองแม่ลูกมากนัก
ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทันทีว่า “ท่านแม่รอง...ดีกับท่านและท่านพ่อหรือไม่”
อินปู้อวี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เหคุใดจึงถามเช่นนี้ ชุดแต่งงานของน้องหญิงใหญ่ก็เป็นท่านแม่รอง ที่เย็บให้เจ้ากว่าสิบวันสิบคืนด้วยมือของนางเอง”
ในยุคปัจจุบันอินชิงเสวียนอ่านนิยายนองเลือดมากมาย พอนางได้ยินคำว่าแม่รองและน้องสาวต่างมารดา นางก็ทึกทักไปเองโดยปริยายว่าสองคนนี้เป็นคนไม่ดี
บางทีพวกนางอาจเสแสร้งแกล้งทำก็ได้ ถึงอย่างไรบุรุษก็เป็นคนมีจิตใจหยาบไม่ละเอียดอ่อน แยกแยะเรื่องประเภทนี้ไม่ได้
แต่เมื่ออินปู้อวี่เอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นก็ต้องทำให้เขาสงบปากไปก่อน แล้วจึงเรียกอวิ๋นฉ่ายมา ให้นางไปนวดแป้งเพิ่มและห่อเกี๊ยวทั้งสองคนนำกลับบ้านด้วย
ทั้งหมดรับประทานอาหารกลางวันจนพระอาทิตย์เกือบตกดิน อินจ้งจึงลุกขึ้นยืนตัวเซด้วยท่าทางเมากรึ่มเล็กน้อย
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับกระหม่อมสองคนพ่อลูก วันนี้ก็รบกวนนานแล้ว จึงขอลากลับไปก่อน”
เย่จิ่งอวี้ก็ดื่มไปหลายจอก ใบหน้าหล่อเหลาดั่งหยกขาวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนๆ
เขาหัวเราะเสียงก้องกังวานแล้วพูดว่า “ท่านขุนนางเฒ่าไม่จำเป็นต้องมากพิธี ท่านและปู้อวี่ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ วันนี้ข้าจะไม่เก็บรั้งพวกท่านไว้นานแล้ว หลังจากที่พวกท่านปักหลักเรียบร้อยดี ข้าจะให้เสวียนเอ๋อร์ออกจากวัง ไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัวสักหลายๆ วัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อินจ้งก็ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงทันที พูดด้วยความเคารพ “กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาท!”
เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปช่วยพยุงอินจ้งขึ้น
“ท่านขุนนางเฒ่าโปรดลุกขึ้นเถิด พ่อลูกได้พบกันเดิมทีก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว หากท่านเกรงใจ ยิ่งทำให้ข้าดูเหมือนคนไม่เข้าใจหลักการของธรรมชาติของมนุษย์”
“ฝ่าบาททรงมีคุณธรรม กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
อินจ้งใช้แขนเสื้อป้ายหางตาตัวเอง ในใจรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด
อินจ้งรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งที่แล้วสามารถชำระล้างความผิดที่เขาไม่ได้ก่อได้ จะคาดหวังว่าจะได้รับความกรุณาเช่นนี้ได้อย่างไร เขาลอบมองลูกเงียบๆ และเห็นนางกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกับองค์หญิง เขาก็รู้สึกชื่นใจ
ชิงเสวียนโตขึ้นแล้วจริงๆ!
เป็นตระกูลอินที่บังคับให้นางเติบโตขึ้น!
เมื่อนึกถึงจดหมายลับฉบับนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบุตรชายคนโต
เขารีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีอีกสิ่งหนึ่งที่กระหม่อมอยากจะถาม ไม่ทราบว่าตอนนี้อินสิงอวิ๋นเจ้าคนกบฏนั่นอยู่ที่ไหนแล้ว”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม การที่อินสิงอวิ๋นหลบหนีจากเมืองซุ่ยหาน ถือเป็นความผิดร้ายแรง อินจ้งสามารถเรียกด้วยคำว่ากบฏเท่านั้น
เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าสืบพบความจริงแล้วว่า การกระทำของอินสิงอวิ๋นในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะถูกยุยงเสี้ยมสอนจากผู้อื่น จึงมีราชโองการให้เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าให้เขาออกจากเมืองหลวงไปกับผู้ช่วยเจ้ากรมโยธาเพื่อช่วยดูแลน้ำทางเหนือ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าพี่ใหญ่สบายดี และยังถูกส่งไปทำธุระ อินปู้อวี่ก็รู้สึกยินดี ทว่าอินจ้งกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม้ว่าอินสิงอวิ๋นจะเก่งทั้งทางบุ๋นและบู๊ แต่ความสามารถที่แท้จริงของเขายังเอนเอียงไปทางการต่อสู้ ทำไมฝ่าบาทถึงส่งเขาไปดูแลน้ำ ช่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
อินจ้งพยักหน้า
“การที่ฝ่าบาทปฏิบัติต่อเราเช่นนี้นั้น เป็นทั้งคุณและโทษ มีคนนับไม่ถ้วนในราชสำนักคอยจับตาดูเราอยู่ เมื่อใดที่เรางานผิดพลาดเราจะถูกตำหนิ น้องสาวของเจ้าที่อยู่ในวังก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน จากนี้ไปหากเจ้าคิดกระทำสิ่งใดจงทบทวนให้รอบคอบ อย่ามุทะลุอีก นี่ไม่ใช่แค่เพื่อครอบครัวของเราเท่านั้น แต่ยังเพื่อน้องสาวของเจ้าด้วย”
อินจ้งถอนหายใจแล้วพูดต่อ “นางออกจากวังเย็นมาได้ นางต้องเผชิญกับความยากลำบากที่ไม่อาจเอ่ยปากบอกผู้ใดได้ วันนี้ที่นางมาอยู่ในจุดนี้ได้ ยิ่งไม่ใช่เรื่องยาก นางทำทั้งหมดนี้เพื่อตระกูลอิน ทั้งเจ้าและข้าอย่าเอาแต่แสวงหาความสุข จนไม่สนใจความเป็นตายของนาง”
อินปู้อวี่โค้งคำนับและพูดว่า “ลูกทราบแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
อินจ้งขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แล้วก็มีเรื่องของพี่ใหญ่เจ้า ไม่ว่าพ่อจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เขามิได้เป็นคนของกรมโยธา เหตุใดฝ่าบาทถึงส่งเขาไปดูแลเรื่องน้ำได้เล่า”
อินปู้อวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ “คงไม่มีอะไรหรอก ในเมื่อพี่ใหญ่ถูกล้างความผิดไปแล้ว จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าฝ่าบาทต้องการใช้เขา ก็ต้องหางานง่ายๆ ก่อน ให้พี่ใหญ่ทำความดีความชอบ มีเพียงวิธีนี้ถึงจะสามารถทำได้บรรดาขุนนางเชื่อถือและศรัทธา”
ทว่าอินจ้งไม่ได้มองโลกในแง่ดี ฝ่าบาทไม่ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าทำไมอินสิงอวิ๋นจึงกลับมาเมืองหลวง ใครเป็นผู้ยุยงเสี้ยมสอนเขา เรื่องนี้มีข้อน่าสงสัยจริงๆ
ตอนนี้มีเพียงแต่ต้องรอให้อินชิงเสวียนกลับบ้านไปเยี่ยมญาติ แล้วค่อยไต่ถามให้ละเอียด
เขาถอนหายใจที่มีแต่กลิ่นสุราออกมาเฮือกใหญ่ อินจ้งเอนตัวพิงตัวรถ ต่อมาเมื่อรถม้าได้หยุดลง คนขับก็เปิดม่านออก
“ท่านแม่ทัพอิน ถึงจวนแล้วขอรับ”
“ขอบคุณมาก”
อินปู้อวี่ลงจากรถก่อน แล้วเอื้อมมือไปช่วยพยุงผู้เป็นพ่อลงจากรถ
แม่รองซูหมิงหลานกำลังรออยู่ที่ประตู นางรออยู่ในจวนก็รู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย เพราะสองพ่อลูกหายไปเกือบทั้งวัน กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก
เมื่อเห็นอินจ้งลงจากรถ ก็รีบก้าวไปช่วยพยุงเขาทันที
“พวกท่านสองคนพ่อลูก เจอชิงเสวียนหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...