ท่ามกลางความฝันอันยาวนาน
ในความฝัน เย่จิ่งอวี้ดูเหมือนจะกลับมาสู่ช่วงที่ยังเป็นเด็ก ตอนที่ได้นั่งชิงช้าอันแสนสุขกับมารดาในตำหนักจินหวู
“เสด็จแม่ สูงขึ้นอีก”
“สูงกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าตกลงมา เจ้าจะเจ็บเอานะ”
“ลูกไม่กลัว”
หวนไท่เฟยพูดอย่างช่วยไม่ได้
“แต่แม่กลัว”
“เสด็จแม่กลัวสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้หันกลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ
หวนไท่เฟยส่ายศีรษะ และยิ้มอีกครั้ง
“แม่กลัวเจ้ากับแม่ต้องแยกจากกัน แม่ทิ้งเจ้าไม่ได้”
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นเช่นนั้นแน่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่ออนุญาตให้ลูกพักอยู่ในตำหนักจินหวูแล้ว”
หวนไท่เฟยถอนหายใจเบาๆ แล้วแกว่งไกวชิงช้าอีกครั้ง
“ถ้าแม่ได้อยู่กับเจ้าตลอดไปก็คงดี”
เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น “เป็นเช่นนั้นแน่ เมื่อลูกโตขึ้น จะปกป้องเสด็จแม่เอง”
หวนไท่เฟยคลี่ยิ้มละไม
“ได้ เช่นนั้นแม่จะรอจนเจ้าโตนะ”
ฮวาเชียนเดินมาจากด้านข้าง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พระสนมคงเหนื่อยแล้ว ให้หม่อมฉันแกว่งไกวชิงช้าให้นะเพคะ”
ฮวาเชียนแข็งแรงมาก แกว่งชิงช้าให้เย่จิ่งอวี้ขึ้นสูงๆ ได้ในคราวเดียว เย่จิ่งอวี้หัวเราะอย่างมีความสุข ครั้นก้มศีรษะลงโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นว่าขอบตาของมารดาแดงเรื่อ...
จู่ๆ ฉากก็เปลี่ยนไป และเย่จิ่งอวี้ก็มาที่ตำหนักจินหวูอีกครั้ง
เขาเห็นเสด็จแม่ของเขามีเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร กำลังจะตายบนเก้าอี้ตัวยาว ปากของนางขยับเปิด เหมือนต้องการจะพูด ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าทรมาน...
แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าใบหน้านั้นกลายเป็นอินชิงเสวียนได้อย่างไร เย่จิ่งอวี้สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
“เสวียนเอ๋อร์!”
อินชิงเสวียนกำลังยกชาเย็นมาให้เย่จิ่งอวี้ ในใจก็กำลังคิดถึงเรื่องที่สวีจือย่วนดีดพิณทั้งคืน
ตอนนี้ได้รู้ความจริงจากหลี่เต๋อฝูแล้ว เหมือนจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องถามอีก
ถ้าถามมากไปจะดูเหมือนคนไม่มีเหตุผล เพราะในเมื่อได้ตัดสินใจชอบแล้ว ก็ควรอยู่ร่วมกันโดยดี ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นการเข้าใจผิด แต่ยังไปหาเรื่องอีก ก็เท่ากับว่าแสดงความไร้คุณธรรมของตัวเองออกไป
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเย่จิ่งอวี้ร้องเรียกตัวเอง จึงเดินเข้าไปทันที
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรหรือเพคะ”
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนยืนอยู่ต่อหน้าตัวเองอย่างเรียบร้อยครบบริบูรณ์ เย่จิ่งอวี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เพคะ”
อินชิงเสวียนพยักหน้าและถามว่า “ที่ฝ่าบาทตรัสว่าจะให้หม่อมฉันกลับ้านไปอยู่กับท่านพ่อท่านพี่สักสองสามวัน คงไม่ใช่บอกเพราะเมากระมัง”
หลังจากที่สองพ่อลูกทั้งคู่กลับไป อินชิงเสวียนก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ให้เงินแก่พวกเขา นางรู้ว่าเย่จิ่งอวี้ได้จัดให้พวกเขาอาศัยอยู่ในจวนที่เขามอบให้นาง แต่ลำพังมีแค่ที่พัก ก็ไม่สามารถหาข้าวปลาไว้กินได้
พวกเขากลับมาจากเมืองซุ่ยหาน คงไม่มีเงินทองติดตัวมาแน่ๆ จึงอดเป็นห่วงไม่ได้
เย่จิ่งอวี้เกาลูบสันจมูกจิ้มลิ้มของนางเบาๆ
แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “วาจาของข้าศักดิ์สิทธิ์เสมอ เคยโกหกเจ้าที่ไหน ถ้าเจ้าจะกลับก็กลับได้ทุกเมื่อ แต่อย่าอยู่นานนัก อย่างมากไม่เกินสามวัน”
ดวงตาของอินชิงเสวียนสว่างขึ้นทันที
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะกลับคืนนี้เลย”
เย่จิ่งอวี้ส่ายศีรษะ
“คืนนี้ไม่ได้ ข้ายังมีฎีกาอีกหลายฉบับที่ต้องตรวจโดยเร็ว ข้าไม่ไว้ใจให้องครักษ์เงาไปส่งเจ้า รอเลิกประชุมเช้าพรุ่งนี้เถิด ข้าจะพาเจ้ากลับด้วยตัวเอง!”
อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปาก
“ก็ได้เพคะ”
ทนไปก่อนสักคืน พวกเขาคงไม่เป็นไรกระมัง
ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินอวิ๋นฉ่ายพูดว่า “พระสนมเพคะ พระสนมหลิงเฟยตามมาด้วยนายหญิงทั้งหลายมาแสดงความยินดีกับท่านเพคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...