“พอดีเลย ให้พวกนางอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
เย่จิ่งอวี้จัดแต่งเสื้อคลุม แล้วเดินออกจากตำหนักไป
นอกประตู มีสาวๆ กลุ่มหนึ่งกำลังรอให้อินชิงเสวียนเรียกเข้าพบ เมื่อพวกนางเห็นฮ่องเต้เดินออกมา ก็รีบยอบกายคารวะทันที
“หม่อมฉันถวายบังคมเพคะ”
“ตามสบาย”
เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ แล้วจากไปพร้อมกับหลี่เต๋อฝูและเหล่าขันทีทั้งหลาย
นายหญิงหลายคนแอบเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็เห็นเพียงด้านหลังของฝ่าบาทเท่านั้น
เมื่อเห็นใบหน้าที่ผิดหวังของทุกคน สายตาซูฉ่ายเวยก็เผยรอยยิ้มเยาะ
พวกนางอยู่ในวังมาเกือบครึ่งปีแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใดนอกจากตำหนักจินหวูเลย
แทนที่จะคิดถึงสิ่งที่ไม่ได้เป็นของตน มิสู้คิดว่าจะทำให้ชีวิตของตัวเองอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไรดีกว่า
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว นางหันไปหาอินชิงเสวียน โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ขอแสดงความยินดีกับพระสนมที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟย ในอนาคตพวกเราพี่น้องยังต้องให้พระสนมช่วยดูแล นี่คือของขวัญเล็กน้อยจากข้า หวังว่าพระสนมจะไม่รังเกียจ”
เซียงหลายยื่นกล่องเล็กแกะสลักวิจิตรงดงามให้ทันที
ครั้นแล้วนายหญิงทั้งหลายก็เริ่มรู้สึกตัว ต่างทยอยส่งของขวัญแสดงความยินดี
อวิ๋นฉ่ายก้าวไปรับของขวัญ และพาทุกคนไปที่ศาลาหิน
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สายลมยามค่ำคืนเย็นสบายยิ่งนัก
สายลมเย็นๆ พัดมาบนศาลาหิน ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
อินชิงเสวียนสั่งให้อวิ๋นฉ่ายผ่าแตงโมเพื่อเห็นการต้อนรับทุกคน หลังจากรับประทานอาหารที่ทั้งหวานและอร่อยนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา
แน่นอนว่ามนุษย์เรามีทั้งคนรวยคนจน ชีวิตอยู่สูงหรือตกต่ำ
ในทำนองเดียวกัน หากเข้าวังแล้วได้รับใช้ฝ่าบาท คนผู้นั้นก็จะสามารถเจริญรุ่งเรืองและอยู่ในตำแหน่งสูง แต่ตัวเองกลับเป็นเหมือนผักเน่าไม่มีใครสนใจ จะไม่เกิดช่องว่างในจิตใจได้อย่างไร
ภายนอกทุกคนต่างพูดคุยสนุกสนานและชมเชยนาง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความริษยา เพียงแต่ไม่ว่าจะไม่พอใจเท่าใด ก็ต้องเก็บมันไว้ ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยกับฮองเฮาอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น คาดว่าถ้าไม่มีเหตุใดพลิกผัน อินชิงเสวียนจะได้เป็นนายหญิงแห่งวังหลังในภายหน้าอย่างแน่นอน
บรรดานายหญิงทั้งหลายต่างก็ประจักษ์แก่ใจดี และบางคนก็แสดงไมตรีจิตแล้ว
“ได้ยินว่าเมื่อเร็วๆ นี้พระสนมได้เปลี่ยนกลุ่มขันทีนางกำนัลใหม่ คนเหล่านี้ไม่ต้องพระทัยของพระสนมหรือเพคะ หากพระสนมไม่รังเกียจ หม่อมฉันสามารถมาช่วยพระสนมดูแลตำหนักจินหวูได้”
มีคนพูดอีกว่า “หม่อมฉันชอบเด็กมาก ไม่ทราบว่าพระสนมจะอนุญาตให้หม่อมฉันมาหาองค์ชายน้อยเป็นครั้งคราวหรือไม่”
“ส่วนหม่อมฉันไม่ถนัดในด้านอื่นนัก แต่งานเย็บปักนั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้เลย ถ้าพระสนมต้องการให้ทำงานเย็บปัก หม่อมฉันก็เต็มใจช่วยเต็มที่”
ทุกคนเริ่มประกาศข้อดีของตัวเองทันที อินชิงเสวียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ต้องยิ้มจนกรามแทบค้าง
นางไม่ชอบปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเหล่านี้มากนัก โดยเฉพาะระหว่างสตรี ที่มีแต่ความคดเคี้ยวเลี้ยวลดเป็นสำคัญนัก ซึ่งน่าหน่ายใจเหลือทน
ตอนที่อินชิงเสวียนเข้ามหาวิทยาลัย นักศึกษาที่อยู่ในสาขามีแต่นักศึกษาชาย แต่นางก็ไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้เมื่อได้ยินสตรีกลุ่มใหญ่พูดจ้อกแจ้กจอแจอยู่ข้างตัว นางก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวอย่างอดไม่ได้
นางฉีกยิ้ม แล้วพูดอย่างมีชั้นเชิง “ความหวังดีของพวกเจ้าข้ารับไว้แล้ว ตอนนี้ก็มืดค่ำมากแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ หากเจ้ามีอะไรอีก ไว้ค่อยคุยกันวันหน้าก็แล้วกัน”
ซูฉ่ายเวยพูดด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีอยากมาตั้งแต่ยามบ่าย แต่ได้ยินมาว่าท่านพ่อและพี่ชายของพระสนมกำลังรับอาหารเย็นอยู่ที่นี่ จึงไม่กล้ามารบกวน ตอนนี้มืดมากแล้ว พระสนมก็ควรรีบพักผ่อนนะเพคะ”
เมื่อเห็นซูฉ่ายเวยพูดใช้ได้ อินชิงเสวียนก็กระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม
“เอาล่ะ หลังจากนี้อีกไม่กี่วันเมื่อข้าสะสางงานเสร็จแล้ว ข้าค่อยไปพูดคุยกับพี่หญิงน้องหญิงทั้งหลายที่หอฉงฮวา”
ซูฉ่ายเวยเข้าใจทันที พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอหวงกุ้ยเฟยเสด็จมานะเพคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
อวิ๋นฉ่ายเป็นนางกำนัลคนสนิทของนาง จะไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็คงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อนางไม่อยู่ในวัง ยิ่งต้องป้องกันตัวมากขึ้น
นางนั่งตัวตรงและพูดอย่างจริงจัง “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับสวีจือย่วนนั้นไม่ได้ดีเหมือนที่เจ้าคิด เจ้าต้องระวังนางไว้ให้ดี โดยเฉพาะห้ามไม่ให้นางเข้าใกล้เสี่ยวหนานเฟิงได้”
อวิ๋นฉ่ายอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามอีกต่อไป
โค้งคำนับแล้วพูดว่า “หม่อมฉันทราบแล้ว ถ้าพระสนมไม่อยู่ในวัง ไม่ว่าจะเป็นใคร หม่อมฉันจะไม่ยอมให้เข้าใกล้องค์ชายน้อยเด็ดขาด”
“อืม เรื่องนี้เจ้าต้องบอกเสี่ยวอานจื่อและยายหลี่ด้วย”
ทันทีที่อินชิงเสวียนพูดจบ ยายหลี่ก็อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเดินเข้ามา
ดวงตาของเด็กเป็นสีแดง ลูกตาดำเป็นประกายราวกับหินอัคนีสีนิลของเขาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาแวววาวสองหยดที่คลอเบ้า ปากเล็กๆ เม้มแน่น ท่าทางดูเสียใจอย่างยิ่ง
“นี่เกิดอะไรขึ้น”
อินชิงเสวียนหยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาว
ยายหลี่อุ้มเสี่ยวหนานเฟิง พูดอย่างจนปัญญา “เดิมทีหม่อมฉันอยากพาองค์ชายน้อยไปนอนที่ห้องโถงด้านข้าง แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ องค์ชายน้อยก็ตื่น ไม่ว่าอย่างไรก็จะมาหาพระสนมเพคะ”
เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกหาอินชิงเสวียน อยากให้นางอุ้ม
เมื่อเห็นท่าทางน่าเอ็นดูกึ่งสงสาร อินชิงเสวียนก็ปฏิเสธไม่ได้เลย รีบโผเข้าไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงทันที
“เป็นอะไรไป คิดถึงแม่รึ”
อินชิงเสวียนหอมแก้มเสี่ยวหนานเฟิง และถามด้วยเสียงอ่อนโยน
เสี่ยวหนานเฟิงกอดคอของนางทันที โน้มใบหน้าเล็กๆ แนบกับใบหน้าของนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “คิดถึง~”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...