สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 398

ช่วงกลางวัน

อินชิงเสวียนเตรียมพร้อมแล้ว

กระโปรงคาดอกสีชมพูอิงฮวาขับเน้นให้รูปร่างของนางดูเพรียวบางได้ส่วนสัดงามงด กระโปรงปักด้วยดอกไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งดูหรูหราและสง่างาม เมื่อชุดสีนี้ถูกสวมใส่บนเรือนร่างของอินชิงเสวียน กลับไม่ทำให้ดูไร้รสนิยมแม้แต่น้อย

บนศีรษะประดับด้วยปิ่นปักผมที่แกะสลักจากหินโมรา แต่งขอบด้วยหมู่มวลผกาเล็กๆ ให้กลิ่นอายโดดเด่นสดใส สง่างามและสูงศักดิ์

เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อน เข้าคู่กับรองเท้าคู่เล็กสีเดียวกัน ซึ่งทำให้ใบหน้าดวงเล็กจ้อยดูขาวกระจ่างตายิ่งขึ้น แพขนตาหนาสีดำงอนเด้ง ราวกับตุ๊กตาเด็กที่ตั้งขายในห้างสรรพสินค้า

เมื่อเห็นว่าลูกชายน่ารักแค่ไหน อินชิงเสวียนก็รักเอ็นดูจนอุ้มไม่ยอมวาง

ขณะที่กำลังลูบใบหน้าเล็กๆ ของเขา เสี่ยวอานจื่อก็วิ่งเข้ามา

เขากล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานว่า “พระสนม ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ตรัสว่าให้รอเสด็จที่ประตูตงฮว๋า ประตูตงฮว๋าเป็นประตูเข้าออกสำหรับเจ้าหน้าที่ขุนนางทุกภาคส่วน ฝ่าบาทอนุญาตให้พระสนมเสด็จออกทางประตูนี้ พอจะเห็นถึงความใหญ่โตแล้ว!”

อินชิงเสวียนอยู่ในวังมานานแล้ว พอจะรู้กฎบางอย่างในวังอยู่บ้าง ปกตินางจะออกจากวังทางประตูจิ้งอัน น้อยมากที่จะผ่านประตูตงฮว๋า

บางทีอาจเป็นเพราะมีฮ่องเต้ตามไปด้วย การจัดการถึงได้หรูหราไม่เหมือนเดิม

ครั้นแล้วทั้งหมดก็พาเด็กไปที่ประตูตงฮว๋า เห็นรถม้าสีเหลืองอร่ามมาแต่ไกลๆ พร้อมด้วยม้าสีน้ำตาลแดงแปดตัว มีพู่สีเหลืองสดใสร้อยด้วยหินโมราบนอานบังเหียน ซึ่งดูสูงส่งมาก

ตามมาด้วยขันทีในวังกว่ายี่สิบคนที่ถือพระกลดทรงพุ่มขนาดใหญ่ เดินมาอย่างเอิกเกริก อันเต็มไปด้วยอำนาจและอภิสิทธิ์อย่างล้นหลาม

จากนั้นตารมมาด้วย ฉินเทียน หลี่ฉี และทหารรักษาพระองค์อีกหลายสิบนาย ต่างขี่ม้าตัวสูงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์

อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่ออกจะ...ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่กระมัง

เมื่อเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ก็เห็นเย่‍จิ่ง‍อวี้นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ในรถม้าทันที

แม้ว่าเขาจะสวมชุดลำลอง แต่ก็ให้กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาเหมือนที่ผ่านมา เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินปักลายมังกรที่ชายเสื้อ สวมผ้าซับในสีขาว ห้อยจี้หยกมังกรอันมีค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้สองอันที่เอว สิ่งเหล่านี้ล้วนเผยให้เห็นความสูงศักดิ์และชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา

“เสวียน‍เอ๋อร์ ขึ้นมา”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยิ้ม พลางยื่นมือไปรอรับนาง

อินชิงเสวียนค่อนข้างตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาที่คาดไม่ถึง

“นี่...จะรบกวนราษฎรหรือไม่เพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ออกแรงที่ข้อมือ และดึงคนในชุดสีชมพูแสนอ่อนหวานมาอยู่ข้างกาย

“ข้าแค่อยากให้พวกเขารู้ว่า ข้าให้ความสำคัญกับเสวียน‍เอ๋อร์ รวมถึงตระกูลอินมากเพียงใด”

เขาเลิกเรียวตาหงส์ขึ้น ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเสวียน‍เอ๋อร์พอใจหรือไม่”

อินชิงเสวียนรู้สึกอบอุ่นในใจ นางเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยสำหรับความเมตตาของฝ่าบาท เพียงแต่...หม่อมฉันเกรงว่าต้นไม้ใหญ่จะดึงดูดลมพายุ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ตราบใดที่พ่อของเจ้ากลับมายังเมืองหลวง ย่อมมีคนอิจฉาริษยาไม่น้อยอยู่แล้ว เหตุผลที่ข้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อบอกพวกเขาว่าอย่าคิดไม่ซื่อกับตระกูลอิน”

เมื่อเห็นว่าเขามีความคิดรอบคอบเช่นนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกซาบซึ้งใจ โน้มตัวคำนับว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันและตระกูลอินรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง”

“ตามสบาย”

เย่‍จิ่ง‍อวี้รับตัวเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงมาอุ้มอย่างอารมณ์ดี หลี่เต๋อฝูรีบลดม่านรถที่ปักด้วยด้ายสีทองลงทันที ตะโกนด้วยเสียงแหลมสูง “เคลื่อนขบวน ออกจากวัง!”

เสียงฆ้องดังขึ้นสามครั้ง และขบวนเสด็จก็ออกจากประตูตงฮว๋าอย่างยิ่งใหญ่

นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยว‍หนาน‍เฟิงได้นั่งรถม้าที่สวยงามเช่นนี้ ดวงตาโตมองกลอกไปทางซ้ายทีขวาที ครั้นเห็นลูกตุ้มทองที่แขวนอยู่ในรถม้า เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ มือน้อยเอื้อมออกไปจับเล่น

อินชิงเสวียนรีบพูดขึ้นทันที “อันนี้เล่นไม่ได้นะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ได้ดึงลูกตุ้มออกมาแล้ว

“ไม่เป็นไร เมื่อจ้าวเอ๋อร์ชอบ ก็ให้เขาเล่นเถอะ”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ฝ่าบาททรงตามใจเขามากเกินไปแล้ว”

เมื่อเห็นลูกชายศึกษาลูกตุ้มด้วยท่าทางจริงจัง ดวงตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ข้ามีจ้าวเอ๋อร์เป็นลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ทุกสิ่งที่ข้ามีต่อจากนี้จะเป็นของเขา อย่าว่าแต่ลูกตุ้มนี้เลย”

อินชิงเสวียนถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ฝ่าบาททรงตั้งใจว่าต่อไปจะไม่มีทายาทคนอื่นอีกหรือเพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้พยักหน้า ลงจากรถโดยที่อุ้มเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นจึงเอื้อมมือไปช่วยประคองอินชิงเสวียนลงจากรถม้า

เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูเป็นคนที่เลือกมาจากในวัง เพื่อดูแลจวนให้อินชิงเสวียนโดยเฉพาะ ฉะนั้นจึงรู้จักฮ่องเต้เป็นธรรมดา เขากระวีกระวาดคุกเข่าคำนับทันที

เย่‍จิ่ง‍อวี้พูดเบาๆ “ลุกขึ้นเถอะ แม่ทัพอินอยู่บ้านหรือไม่”

เด็กรับใช้รีบตอบ “อยู่พ่ะย่ะค่ะ เชิญเสด็จด้านในเถอะ”

เมื่อโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันมาเยี่ยม จึงบังอาจเชิญเสด็จ และเปิดประตูทันที จากนั้นพาทุกคนเข้าในเรือน

อินจ้งกำลังนั่งพูดคุยกับซูหมิงหลานอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า เมื่อได้ยินเด็กรับใช้ตะโกนว่า “ใต้เท้า ฝ่าบาทเสด็จมาขอรับ”

อินจ้งตกใจ ผุดลุกขึ้นยืนทันใด

ซูหมิงหลานก็ตกประหม่า มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อโดยไม่รู้ตัว แล้วก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ในตอนที่ถูกรื้อค้นโดยทหารทหารรักษาพระองค์ในวันนั้น ใบหน้าพลันซีดลงทันที

“นายท่าน นี่...หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?”

อินจ้งตบมือปลอบใจนาง

“ไม่ต้องตกใจ ข้าจะออกไปดู”

ตอนประชุมเช้ายังดีๆ อยู่เลย คงไม่ถึงขนาดที่ว่าผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม ก็จะมาไต่สวนความผิดของเขากระมัง

แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจ เขารีบจัดแจงเสื้อผ้า แล้วเดินรุดหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ออกไป ก็เห็นอินชิงเสวียนสวมพิธีการในวังหลวงสีชมพู จึงอดยินดีเสียมิได้

ที่แท้ก็เป็นลูกสาวที่กลับมา!

แล้วจึงมองดูเย่‍จิ่ง‍อวี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ นาง เขาก็ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงทันที

“กระหม่อมอินจ้งขอถวายบังคมฝ่าบาท ถวายพระพรหวงกุ้ยเฟย”

ซูหมิงหลานก็เดินออกจากห้องมา สิ่งแรกที่สะท้อนในคลองจักษุคืออินชิงเสวียนผู้งามพริ้ง ทันใดนั้นดวงตาพลันเบิกบานด้วยความดีใจ เด็กคนนี้กลับมาแล้วจริงๆ!

รีบคุกเข่าลงข้างๆ อินจ้ง พูดด้วยท่าทางหมบกราบว่า “หม่อมฉันซูหมิงหลานถวายบังคมฝ่าบาท ถวายพระพรหวงกุ้ยเฟยเพคะ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์