สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 413

เย่จิ่งอวี้ยังคงดื้อดึงที่จะประทับรอยจูบบนริมฝีปากของอินชิงเสวียน

จูบที่ผิวเผินราวกับแมลงปอเดินบนน้ำ และจากไปอย่างรวดเร็ว

เขามองอินชิงเสวียนที่นั่งอยู่บนขาของตัวเอง ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย มีเสียงที่แสดงความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียงของนาง

“ข้าต้องไปว่าราชกิจแล้ว เจ้านอนที่นี่เถอะ เมื่อตื่นนอนข้าจะกลับมาพอดี”

อินชิงเสวียนขยับไปด้านข้างด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“ไม่ดีกว่าเพคะ จ้าวเอ๋อร์กลับตำหนักจินหวูแล้ว ข้าต้องไปอยู่กับเขา”

“เจ้ากลับไปตอนนี้เขาก็นอนอยู่ หากว่าเขาตื่น เจ้าจะยิ่งนอนไม่ได้เลยนะ เชื่อข้าสิ”

เย่จิ่งอวี้กดไหล่ของอินชิงเสวียนไว้ เสียงนุ่มทุ้มลึกร้อยเรียงกันเข้าไปในหูของอินชิงเสวียน อินชิงเสวียนต้องมนตร์สะกดในทันที และพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

เย่จิ่งอวี้ยิ้มและจูบหน้าผากของนางด้วยริมฝีปากบาง

“เด็กดี”

เขาอุ้มอินชิงเสวียนไปที่เตียงมังกร ปลดมุ้งลง จากนั้นจึงเดินออกไปอย่างมีความสุข

ผ้าห่มของอินชิงเสวียนถูกรัดไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงหัวที่โผล่ออกมา นางมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นว่ามันเริ่มสว่างแล้วจริงๆ นางจึงหาวออกมาอย่างอดไม่ได้

ค่ำคืนนี้ผ่านไปไวเสียจริง!

ช่างเถอะ อย่างไรก็มีคนคอยดูแลเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ พักผ่อนให้สบายใจดีกว่า

อินชิงเสวียนผ่อนคลายจิตใจลง เพียงครู่เดียวนางก็ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เป็นที่เรียบร้อย

เมื่อแสงแรกสาดส่องมายังพื้นโลก เรื่องที่สวีจือย่วนถูกสั่งสอนก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งวังหลัง

ซูฉ่ายเวยกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในตำหนัก มีปิ่นติดผมมุกที่งดงามบนศีรษะของนาง ชุดกระโปรงผ้าทอสีฟ้าอ่อนทำให้นางดูสง่างามและสูงส่ง ผิวพรรณของนางก็ค่อนข้างดีเช่นเดียวกัน

ตั้งแต่ได้แต่งตั้งเป็นสนมเอก คุณภาพของชาดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และสีของผ้าไหมก็สดใสกว่าเดิมอีกด้วย

ซูฉ่ายเวยพึงพอใจกับความเป็นอยู่ในตอนนี้มาก อาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์ดีพร้อมทุกอย่าง และยังมีเงินให้ใช้อีกด้วย ชีวิตที่ดีเช่นนี้จะไปหาได้จากที่ใดอีก

เมื่อได้ยินเสียงพวกบ่าวที่คุยกันอยู่ด้านนอก ซูฉ่ายเวยก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก

“เมื่อก่อนคิดว่าสวีจือย่วนเป็นผู้มีสายตาก้าวไกล ไม่นึกว่าจะมีแต่ตาหามีแววไม่ ใครต่างก็รู้ว่าฝ่าบาทคิดอย่างไรต่อหวงกุ้ยเฟย นางกลับจะเข้าไปวุ่นวายให้ได้ สมน้ำหน้าที่โดนตบตี”

เซียงหลานยิ้มและพูดว่า “จริงด้วยเพคะ ไม่เพียงแต่ฝ่าบาทจะไม่ตำหนิหวงกุ้ยเฟย แต่ยังให้พระสนมพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนอีกด้วย สวีจือย่วนจะดื้อดึงอย่างไรก็เสียแรงเปล่า หม่อมฉันยังได้ยินอีกว่าวันนั้นพระสนมสวีค้างอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียน และแทบจะต้องเล่นพิณทั้งคืน”

ซูฉ่ายเวยวางแก้วชาลง หัวเราะเหน็บแนมและพูดว่า “ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ฝ่าบาททรงกระทำจริงๆ”

หลายเดือนก่อน นางก็เคยนั่งคุกเข่าอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนตลอดทั้งคืน ตอนนั้นฝ่าบาทเอาแต่เค้นถามขันทีน้อยในตำหนักของนาง ต่อมาจึงได้รู้ว่าอินชิงเสวียนคือคนที่ฝ่าบาทตามหา

หลังจากเรื่องนั้น ในวังก็สะพัดข่าวที่นางไปร่วมหลับนอน เดิมทีซูฉ่ายเวยคิดอยากจะปล่อยเลยตามเลยเพื่อยกระดับตำแหน่งของตัวเอง วันนี้นางเพิ่งเข้าใจว่า ของแท้ไม่มีวันปลอมแปลงได้ และของปลอมไม่มีวันเป็นของแท้ได้

เซียงหลานพูดอย่างปลงใจ “ฝ่าบาทของพวกเราไม่เหมือนกับฮ่องเต้องค์ก่อน พระองค์ดีต่อหวงกุ้ยเฟยเพียงคนเดียว ช่างน่าอิจฉาจริงๆ นะเพคะ”

ซูฉ่ายเวยกลอกตามองนางและพูดว่า “มีอะไรให้น่าอิจฉา ผู้ชายก็แค่เรื่องชั่วคราว เงินทองนี่สิที่เป็นความนิรันดร์ ข้าเคยได้ยินว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้โยกย้ายวังหลัง หากเรื่องนี้เป็นความจริง พวกเราต้องรีบกอบโกยเงินทองให้มากในตอนที่ยังมีโอกาส”

ตอนนี้นางเข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า เมื่อเทียบกับการได้รับความโปรดปรานและต้องสูญเสียมันไป สู้รักษาเนื้อตัวให้สมบูรณ์จะดีเสียกว่า วันไหนหากต้องออกจากวัง ไม่แน่ว่าอาจยังสามารถหาชายหนุ่มรูปงามมีความสามารถครองคู่ไปด้วยกันได้

ทุกคนเริ่มพากันเพ้อฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทันที แต่ความฝันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน นอกจากการพร่ำเพ้อ พวกนางก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว

ในหอสุ่ยอวิ้น หานปิงก็เคียดแค้นจนกัดฟันกรอดๆ

นางโดนตบหน้าห้าสิบทีจนใบหน้าบวมเป่ง ตอนนี้แทบมองอะไรไม่เห็น

ผิวหนังอ่อนนุ่มของสวีจือย่วน ถูกทุบตีอย่างแรงจนแก้มของนางบวมแดง หน้าตาบูดเบี้ยว แม้จะประคบน้ำแข็งทั้งคืน แต่ความเจ็บปวดก็ไม่หายไป สิ่งที่โหดร้ายที่สุดคือฝ่าบาทยังหักเงินบำนาญของนาง และลดจำนวนมื้ออาหารของนางอีกด้วย

สวีจือย่วนที่ควบคุมอารมณ์ได้มาตลอด ตอนนี้นางไม่อาจอดกลั้นได้อีกแล้ว นางใช้ฝ่ามือกวาดชุดน้ำชาบนโต๊ะจนกระเด็น พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “อินชิงเสวียน ข้าและเจ้าไม่อาจอยู่ร่วมกันได้”

หานปิงเรียกคนรับใช้เข้ามาเก็บกวาดแก้วชา และพูดกับสวีจือย่วนว่า “พระสนม ตอนนี้ฝ่าบาทยังคงเห็นแก่บุญคุณของท่านอยู่แน่ พวกเราควรจะไปหาฝ่าบาทและรอให้พระองค์เสร็จราชกิจ ให้พระองค์ได้เห็นบาดแผลบนใบหน้าของพวกเรา มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้ฝ่าบาทได้รู้ว่าอินชิงเสวียนโหดร้ายเพียงใด”

สวีจือย่วนพยักหน้า สายตาของนางแสดงออกถึงความเกลียดชังที่รุนแรง

“เจ้าพูดถูก พวกเราควรไปหาฝ่าบาท...”

ขณะนั้น เย่จิ่งอวี้กำลังหารือกับเหล่าขุนนางในตำหนักจินหลวน

ตอนนี้เมล็ดพันธุ์ได้ถูกแจกจ่ายไปแล้ว การขุดเปิดร่องน้ำก็บรรเทาปัญหาภัยแล้งได้แล้ว สิ่งเดียวที่ยังรอคอยการแก้ไขก็คือสงครามที่เจียงวู

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรอันสูงส่ง สายตาเฉียบคมกวาดตามองใบหน้าของเหล่าขุนนาง และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “เมื่อวานนี้ ข้าได้รับสารด่วนแปดร้อยลี้จากด่านถงกู่ ทหารเถื่อนของเจียงวูได้ทำการจู่โจมด่านถงกู่โดยที่เราไม่ทันตั้งตัวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าขุนนางที่รักมีกลยุทธ์ที่ดีบ้างหรือไม่?”

อินจ้งกำลังรอคำถามนี้พอดี จึงรีบรุดหน้าหนึ่งก้าว โค้งตัวและพูดว่า “กระหม่อมยินดีนำทัพไปยังเจียงวู เพื่อช่วยด่านถงกู่ต่อสู้กับศัตรู”

กวนฮั่นหลินก็เดินกะเผลกเท้าขึ้นมาหนึ่งก้าว ประสานมือคำนับและพูดว่า “กวนเซี่ยว หลานชายของกระหม่อมก็ยินดียกทัพเดินทางไกลไปยังเจียงวู เพื่อมอบกายใจให้แก่ต้าโจวของพวกเรา”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์