“ทำไมหรือเพคะ?”
อินชิงเสวียนถามขึ้นอย่างว่องไว
“ไม่มีอะไร”
เย่จิ่งอวี้จึงเดินขึ้นรถม้าไป
อินชิงเสวียนขานตอบรับ และอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไว้แน่น
การจากลามักทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าโศก อินชิงเสวียนอารมณ์ไม่ดีมากนัก นางจึงไม่พูดสิ่งใดตลอดทั้งทาง
นางเห็นคนในตระกูลอินเป็นญาติสนิทของตัวเองไปแล้ว ตอนนี้ท่านพ่อและลูกๆ ได้ออกจากเมืองหลวงแล้ว ในใจของนางเหมือนมีบางสิ่งขาดหายไป รู้สึกถึงความโหวงเหวง
เสี่ยวหนานเฟิงราวกับรับรู้ได้ว่าท่านแม่ไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงพยายามเอาใบหน้าเล็กๆ ไปแนบกับนาง มือน้อยๆ ของเขาลูบใบหน้าของอินชิงเสวียน ราวกับกำลังปลอบใจนาง ปากเล็กๆ กำลังพูดพึมพำ
เมื่อเห็นลูกชายที่น่ารักและรู้ความเช่นนี้ อินชิงเสวียนถอนหายใจเฮือกยาว ไม่ควรเอาอารมณ์ของตัวเองมาลงกับลูกเช่นนี้ เพราะมันไม่ยุติธรรมสำหรับลูกเลย
นางตั้งสติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หอมลงบนใบหน้าของเสี่ยวหนานเฟิง และอุ้มเขาเข้าไปในตำหนักจินหวู
เมื่อเข้ามาในประตูตำหนัก เสี่ยวหนานเฟิงก็ขมวดคิ้วสีอ่อนของเขาในทันที มือน้อยๆ พยายามชี้ออกไปด้านนอก
“ออก บิน~”
เมื่ออยู่กับลูกมาเป็นเวลาที่ค่อนข้างนาน อินชิงเสวียนจึงพอเข้าใจความต้องการของเด็กน้อยอยู่บ้าง
นี่คือการที่เขาอยากออกไปดูผีเสื้อด้านนอก นางเองก็ไม่อยากคิดฟุ้งซ่านอยู่ในตำหนัก จึงพูดขึ้นว่า “ได้ พวกเราไปดูบินๆ กันนะ”
เย่จิ่งอวี้ยุ่งกับงานราชการ เมื่อกลับเข้าวังก็ไปที่ห้องหนังสือ
เขาเป็นคนขยันและเอาใจใส่ประชาชน ในทุกวันจะมีงานราชการที่ยุ่งวุ่นวายให้ทำไม่จบสิ้น เขาแตกต่างจากฮ่องเต้ที่มัวเมาอยู่ในบ่อสุราและป่าเนื้อมากเลยทีเดียว
เมื่อนึกย้อนถึงท่าทางที่เขาตั้งใจอ่านสาส์นกราบทูล อินชิงเสวียนก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ผู้ชายที่ตั้งใจทำงานช่างดูหล่อเหลาเสียจริง
เมื่อกำลังจะเข็นรถเข็นเด็กเดินไปยังด้านนอก จู่ๆ ก็พบว่าเย่ไห่ถังเดินเข้ามาจากด้านนอก
“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านจะออกไปข้างนอกงั้นหรือ?”
ตามหลักการแล้ว มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่จะถูกเรียกว่าเสด็จพี่สะใภ้ได้ ทว่าเย่ไห่ถังเรียกนางเช่นนี้มาโดยตลอด อินชิงเสวียนก็เคยชินไปแล้ว
“จ้าวเอ๋อร์ร้องโวยวายจะออกไปเล่น ข้าจึงจะเข็นเขาออกไปเดินเล่นด้านนอก”
เย่ไห่ถังพยักหน้ารับ และเผยท่าทางเหมือนอยากพูดบางสิ่ง
“องค์หญิงไห่ถังมาที่นี่มีเรื่องอะไรเพคะ?”
อินชิงเสวียนเลิกคิ้วถาม
ใบหน้าของเย่ไห่ถังแดงขึ้นเล็กน้อย นางกระแอมไอเสียงแห้งและพูดว่า “ได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพอินออกไปทำสงครามวันนี้ เสด็จพี่สะใภ้ได้ออกไปส่งหรือไม่?”
อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ไปส่งสิเพคะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเป็นห่วง”
“เช่นนั้นก็ดี”
เย่ไห่ถังยิ้มออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ในใจคิดอยากจะถามเรื่องอื่น แต่รู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควร นางจึงหุบปากเล็กๆ ลง
“ข้าก็จะออกไปเดินเล่นอยู่พอดี หากว่าเสด็จพี่สะใภ้ไม่รังเกียจ พวกเราไปด้วยกันได้หรือไม่”
“ดีเพคะ!”
เย่ไห่ถังเป็นหญิงสาวที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร อินชิงเสวียนมีความประทับใจในตัวของนางมาโดยตลอด แม้จะบอกว่าเคยมีเรื่องของกำไลทองเกิดขึ้นมา แต่นางเป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องด้วย ตอนนี้ไทเฮานางแม่มดเฒ่าก็สิ้นชีพไปแล้ว สวีจือย่วนก็ถูกส่งเข้าไปในวังเย็น นับว่าวังหลังได้สงบลงเสียที
อินชิงเสวียนเข็นเสี่ยวหนานเฟิงมายังสวนบุปผาหลวง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนเสี่ยวหนานเฟิงถูกคนชิงตัวไป อินชิงเสวียนก็ไม่กล้าวางตาอีกเลย
เล่นสนุกตลอดจนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า พวกเขาจึงกลับไปที่ตำหนักจินหวู
เมื่อเดินถึงหน้าประตู ก็เห็นซูฉ่ายเวยเดินมาแต่ไกลๆ
อินชิงเสวียนจึงนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ได้รับปากว่าจะให้สินค้าหลายอย่างกับนาง แต่ช่วงนี้ไม่มีเวลาว่างเลยสักวัน จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ในระหว่างที่กำลังคิด ซูฉ่ายเวยก็เดินมาถึงด้านหน้า
“ขอถวายบังคมหวงกุ้ยเฟย”
เย่จิ่งอวี้เข้าไปรับตัวลูกชายมา ครั้งนี้เสี่ยวหนานเฟิงกลับไม่ได้ขัดขืนอะไร และเล่นเส้นผมที่อยู่บนไหล่ของเขา
ทันทีที่อินชิงเสวียนได้พักมือ นางก็รู้สึกถึงเหมือนถูกช่วยไว้ในทันที
“ฝ่าบาทเสวยอะไรมาหรือยังเพคะ?”
“อืม ข้ากินมาบ้างแล้ว”
เย่จิ่งอวี้อุ้มลูกเข้าไปในตำหนัก และถามขึ้นว่า “เสวียนเอ๋อร์อารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
อินชิงเสวียนพยักหน้า
“ดีมากแล้วเพคะ แม้ว่าหม่อมฉันจะยังทำใจไม่ค่อยได้ แต่ก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะชิงแผ่นดินกลับคืนมา หรือช่วยพี่ใหญ่ของข้า ท่านพ่อและท่านพี่ของข้าก็เลือกเดินทางนี้อยู่ดี”
“อืม แม่ทัพที่ชายแดนก็ต้องได้รับการแก้ไขเช่นกัน ข้าเชื่อในความสามารถของท่านพ่อและท่านพี่ของเจ้า”
เย่จิ่งอวี้นั่งลงบนเก้าอี้บุผ้า และเล่นมือที่อ้วนท้วนของลูกชาย พร้อมพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี “ตอนนี้ท่านพ่อของเจ้าไปที่เจียงวูแล้ว จิ้งอ๋องก็กลับไปที่เมืองซุ่ยหานแล้วเช่นกัน อีกไม่นาน สงครามของต้าโจวก็จะสงบสุขลง ถึงตอนนั้นข้าจะได้ใช้ชีวิตของตัวเองกับเสวียนเอ๋อร์เสียที”
ตอนนี้อาซือหลานก็ตายไปแล้ว ประจวบกับตัวช่วยเสริมอย่างดินปืน สงครามชายแดนไม่ยากอีกต่อไป
เพียงแต่เมื่อนึกถึงคนที่แย่งชิงพิณไปนั้น ในใจของอินชิงเสวียนก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
คนผู้นั้นมีวิชาการต่อสู้ที่เก่งกาจ และรับมือได้ยาก หากเขาหาลิ่นเซียวไม่พบ เขาต้องมาตามหาตัวเองอย่างแน่นอน
นางสามารถพาลูกเข้าไปซ่อนในมิติได้ แต่คนอื่นจะทำอย่างไรดี?
หากเขาหาตัวไม่เจอ เขาจะสังหารองครักษ์ในวังหลวงหรือไม่?
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เย่จิ่งอวี้จึงเลิกคิ้วถามว่า “ทำไมหรือ ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้เสวียนเอ๋อร์เป็นกังวลอีกงั้นหรือ?”
“ไม่มีเพคะ ข้าแค่กำลังคิดว่า... ช่วงนี้จะยังป้องกันด่านถงกู่ไว้ได้หรือไม่”
อินชิงเสวียนไม่อยากให้นางเป็นกังวล จึงรีบเปลี่ยนคำพูด
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ไม่น่าจะมีปัญหา ทันทีที่ด่านถงกู่หายไป ชีวิตของพวกเขาก็ตกอยู่ในความเสี่ยง ดังนั้น ไม่ว่าต้องใช้วิธีการใด พวกเขาจะต้องปกป้องชัยภูมิที่มีสิ่งกีดขวางทางธรรมชาตินี้ไว้ให้ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...