สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 422

กระพรวนทองเก็บไว้ในหน้าอกเข้ามาตลอด เพื่อไม่ให้รบกวนเสี่ยวหนานเฟิง เย่จิ่งอวี้หนีบผ้าขนไว้แน่น และหยิบกระพรวนทองออกมาด้วยความระวัง

ไม่มีเสียงใดดังออกมาจากกระพรวน เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจช้า และเปิดผ้าขนออก

อินชิงเสวียนห่มผ้าให้เสี่ยวหนานเฟิง และนั่งลงที่ข้างโต๊ะ

“ฝ่าบาทเห็นสิ่งใดแล้วหรือไม่เพคะ?”

เย่จิ่งอวี้ส่ายหน้า

“ข้าเห็นเพียงอักษรยันต์กองทัพสวรรค์ลิงไฟที่อยู่ด้านบน เดาไม่ออกว่ามีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้า”

อินชิงเสวียนเคยได้ยินต่งจื่ออวี๋บอกว่า กระพรวนเส้นนี้เกิดจากการก่อตัวของสวรรค์ โลกและมนุษย์ ซึ่งสลักกองทัพสวรรค์ไว้สองกลุ่ม อีกทั้งกระพรวนทั้งสิบลูกส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ภายหลังยังหายไปอีกหนึ่งเส้น

กระพรวนทองที่หายไปน่าจะถูกครอบครองไว้โดยผู้ที่ขโมยพิณไป และจะส่งผลต่อเย่จิ่งอวี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่า กระพรวนทั้งหมดต่างส่งกระทบต่อเขา จึงควรหาวิธีในการแก้ไข

เพียงแต่อินชิงเสวียนไม่เข้าใจวิชาอาคม จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้

นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น

“ตอนฝ่าบาททรงพระเยาว์เคยเห็นกระพรวนเส้นนี้หรือไม่เพคะ?”

“ไม่เคย”

เย่จิ่งอวี้พูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด

ในความทรงจำของเขาไม่มีเรื่องเหล่านี้อยู่เลย

ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงความฝันเมื่อหลายวันก่อน

ในฝัน เสด็จแม่อยู่ตรงหน้าของเขาด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็เต้นขึ้นมาราวกับกำลังจับบางสิ่งได้ แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูกลับไม่มีอะไรเลย

เขาส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ได้

“ช่างเถอะ ฟ้ามืดแล้ว ข้าค่อยหาเวลาศึกษาใหม่”

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ห่อกระพรวนกลับดังเดิม ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็นึกขึ้นมาเองและพูดว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่าบาทจะถูกมนตร์สะกดไว้ ทำให้ลืมเรื่องเหล่านี้ บางทีตอนที่พระองค์ทรงพระเยาว์อาจจะเคยเห็นสิ่งของเหล่านี้ และอาจเป็นไปได้ว่า กระพรวนทองนี้อาจเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของไท่เฟย?”

เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็นึกถึงผู้หญิงที่คลุมผ้าสีดำคนนั้น

หรือว่านางคือฮวาเชียน?

เมื่อนึกถึงสายตาซับซ้อนของนางที่มองเขา เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งเกิดความสงสัย

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วแน่น อินชิงเสวียนก็พูดเสียงต่ำว่า “หม่อมฉันเพียงคิดไปเรื่อยเท่านั้น ฝ่าบาทอย่าได้จริงจังเลยเพคะ”

เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า “บางที... อาจเป็นจริงดังที่เสวียนเอ๋อร์พูด ข้าลืมเรื่องบางอย่างไปจริงๆ”

เมื่อทุกครั้งที่สมองนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ฝ่าบาทคิดสิ่งใดได้บ้างไหมเพคะ?” อินชิงเสวียนถามด้วยความสงสัย

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกระพรวน ในหัวของข้ามักมีภาพเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่กลับมองไม่ชัดว่าคืออะไร”

อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อย ตัวเองคงไม่บังเอิญเดาถูกหรอกนะ

เมื่อเห็นนางอ้าปากค้างเล็กน้อย เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม และพูดอย่างสบายๆ ว่า “บางทีโอกาสอาจยังมาไม่ถึง เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องคิดเรื่องนี้ให้เหนื่อยสมองหรอกนะ”

อินชิงเสวียนก็อยากรู้ว่ามันคือเรื่องอะไรกันแน่ จึงพูดว่า “คนที่เอาพิณไปต้องกลับมาหาข้าอีกแน่นอน หากพวกเรามีวิธีจับเขาได้ อาจจะได้คำตอบที่อยากรู้”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มตาหยี และพูดด้วยความจริงจังเล็กน้อย “เสวียนเอ๋อร์พูดถูกทีเดียว เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น พวกเราก็สามารถใช้วิธีบางอย่างได้”

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงดีนกยูง ในมิติยังมีเหลืออีกสามห่อที่นางเก็บมาได้ สามารถนำไปใช้กับเขาคนนั้นได้ อย่างไรน้ำพุวิญญาณก็สามารถถอนพิษนี้ได้

ทั้งสองปรึกษากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็พักผ่อน

เพราะมีจ้าวเอ๋อร์อยู่ด้วย แม้ว่าเย่จิ่งอวี้จะมีแผนการใดก็ไม่อาจดำเนินการได้ ทำได้แต่มองดูทองคำที่อีกฟากของแม่น้ำและถอนหายใจเพียงลำพัง

เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็ยิ้มที่มุมปาก และปิดตานอนลง

หลายวันให้หลังนี้ อินชิงเสวียนสามารถนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม และยังรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เมื่อลืมตามาก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าของจ้าวเอ๋อร์ เมื่อเดินมาที่หน้าต่าง ก็เห็นว่ากำลังเล่นกับไป๋เสวี่ยอยู่

อินชิงเสวียนยืดเอวบิดขี้เกียจ และให้น้ำพุวิญญาณหนึ่งถาดเพื่อเป็นรางวัลของสุนัข ไป๋เสวี่ยดีใจจนประสานอุ้งมือคำนับในทันที จากนั้นก็อ้าปากกว้างและดื่มอย่างชื่นใจ

อินชิงเสวียนหยอกล้อกับลูกชายอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นฉ่ายก็อุ่นอาหารเช้าเรียบร้อย

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีเวลาว่างแบบนี้ อินชิงเสวียนจึงใช้เวลาทั้งหมดกับลูกชายของตัวเอง สอนหนังสือเขา และร้องเพลงให้เขาฟัง

อินชิงเสวียนกลืนน้ำลายลงคออย่างอดไม่ได้ อย่างไรคนภาคเหนือก็ชอบกินเนื้อเสียบไม้ที่สุด

อวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ต่างก็เข้ามารุม

“หอมจังเลย”

อวิ๋นฉ่ายสูดกลิ่นเข้าจมูกเต็มแรง

อินชิงเสวียนหยิบออกมาสองไม้ และแบ่งให้ทั้งสองคน

“ลองชิมว่ารสชาติเป็นอย่างไร?”

ทั้งสองลองชิมหนึ่งคำ ทันใดนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ ราวกับไก่จิกข้าว

“นี่มันช่างอร่อยเหลือเกิน”

ยายหลี่ไม่เคยกินของรสชาติอร่อยเช่นนี้มาก่อน อวิ๋นฉ่ายก็เช่นกัน

“พระสนม เนื้อเสียบไม้ช่างหอมเหลือเกิน รสชาติอร่อยจริงๆ เพคะ”

ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงถามขึ้นชัดเจน “ทำของอร่อยอะไรงั้นหรือ?”

ทั้งสองรีบกลืนเนื้อลงท้อง และโค้งคำนับพร้อมกัน

“พวกหม่อมฉันขอถวายบังคมฝ่าบาท”

เย่จิ่งอวี้ยิ้มตาหวาน และเดินเข้ามาในบ้านช้าๆ

กลับเห็นอินชิงเสวียนกำลังพัดไฟ และกำลังพลิกอะไรบางอย่างอยู่

ไป๋เสวี่ยนั่งน้ำลายไหลย้อยอยู่ด้านข้าง และพนมอุ้งเท้าของมันไว้ตลอด เสี่ยวหนานเฟิงที่นั่งอยู่ในรถเข็นเด็กก็เอื้อมมือน้อยออกมา และคว้ามือมาทางด้านนี้

ข้าหลวงหญิงและขันทีหลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างกำลังพยายามปลอบเขาเอาไว้

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ เสี่ยวหนานเฟิงรีบตะโกนขึ้นด้วยความน้อยใจในทันที “เสด็จพ่อ~”

เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปอุ้มลูกชายออกมา ยิ้มและถามว่า “ท่านแม่ของเจ้าไม่สนใจเจ้าใช่หรือไม่?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์