สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 425

หมอหลวงเหลียงเรียบเรียงคำพูดและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะถูกบางสิ่งทำลายหัวใจ แต่กลับถูกก้อนกระแสอากาศอุ่นปกป้องหัวใจเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้สีหน้าเคร่งขรึม

“เจ้าหมายความว่าอะไร?”

หมอหลวงเหลียงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “อาการของท่านอ๋องแปลกประหลาดมากทีเดียว หัวใจถูกทำลาย เดิมทีควรถึงแก่ชีวิต แต่กลับมากระแสอากาศที่มองไม่เห็นปกป้องท่านอ๋องเอาไว้ อาการป่วยเช่นนี้กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อน จึงไม่อาจตรวจรู้ได้ในทันท่วงที ฝ่าบาทได้โปรดให้เวลากระหม่อมสักหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว หมอหลวงเหลียงพูดเช่นนี้ เกรงว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการรักษา เมื่อลองใช้ความคิดดูแล้ว นางก็หยิบน้ำพุวิญญาณออกมาจากมิติหนึ่งถุง

“ฝ่าบาท สามารถให้ท่านอ๋องดื่มน้ำสักหน่อยหรือไม่เพคะ”

เย่จิ่งอวี้นึกถึงน้ำพุวิญญาณเหล่านั้นที่ตัวเองได้อาบ เขาไม่เคยถามอินชิงเสวียนมาก่อน แต่กลับรู้ว่าน้ำนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากเป็นเพียงน้ำธรรมดา นางคงไม่เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้

“ก็ดีนะ”

เย่จิ่งอวี้รับถุงน้ำมา และพยุงเย่จั้นขึ้น พร้อมกับป้อนน้ำเขาอยู่หลายคำ ส่วนมากล้วนไหลออกมาจากมุมปากเช่นเดิม

เมื่อสัมผัสร่างกายที่เย็นเฉียบของเขา เย่จิ่งอวี้ก็ร้อนใจมาก

“หมอหลวงเหลียงจะใช้เวลานานเท่าใดในการตรวจดูอาการ?”

หมอหลวงเหลียงพูดว่า “ฝ่าบาทได้โปรดให้เวลากระหม่อมสักคืน กระหม่อมจะตรวจหาสาเหตุของโรคท่านอ๋องให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความอ้างว้างและเย็นชา “เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าหนึ่งคืน เจ้าต้องการตัวยาชนิดใดเจ้าบอกมาได้เลย หากในวังไม่มี ข้ายอมใช้เงินมหาศาลเพื่อซื้อมันมาให้ได้”

หมอหลวงเหลียงโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”

อินชิงเสวียนก็จ้องมองเย่จั้นอยู่ตลอด

น้ำพุวิญญาณสามารถแก้พิษได้รับร้อยชนิด และยังสามารถรักษาบาดแผลได้ด้วย อีกทั้งประสิทธิภาพก็รวดเร็วจนน่าประหลาด เหตุใดเย่จั้นดื่มนานขนาดนั้นแล้ว แต่ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดเลย?

เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นยืน

“หมอหลวงเหลียงอย่ามัวเสียเวลา รีบรักษาเสด็จอาเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หมอหลวงเหลียงหยิบเข็มเงินออกมา ดึงแขนของเย่จั้นขึ้น และทิ่มลงที่หัวใจของเขา

เมื่อมองใบหน้าซีดขาวของเย่จั้นที่ยังคงไม่ตอบสนองสิ่งใด เย่จิ่งอวี้ก็ยิ่งร้อนใจ และเดินวนไปวนมาอยู่ในตำหนัก

หัวใจของอินชิงเสวียนก็ค่อยๆ นิ่งลง

เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเย่จั้นกันแน่ หรือว่าเจอแผนลอบกัดของอาซือหลาน?

ทว่าจากข่าวคราวของเย่จิ่งอวี้ เย่จั้นและอาซือหลานได้แยกจากกันหลายวันแล้ว

นางครุ่นคิดครู่หนึ่งและถามขึ้นว่า “ทหารที่ส่งท่านอ๋องกลับมาอยู่ที่ใด?”

เย่จิ่งอวี้จึงคิดได้ว่าเย่จั้นไม่ได้กลับมาด้วยตัวเอง จึงขมวดคิ้วพร้อมพูดขึ้นว่า “เรียกตัวทหารเปลวเพลิงแดงมา”

ไม่นานนัก ทหารผู้นำสองนายก็เดินเข้ามาจากด้านนอก

“ขอถวายบังคม...”

เย่จิ่งอวี้สะบัดชุดคลุมและนั่งลงบนเก้าอี้

พูดขึ้นเสียงเคร่งขรึมว่า “ช่างเถอะ เกิดเรื่องอะไรกับท่านอ๋อง รีบรายงานมาซิ”

คนหนึ่งคุกเข่าสองข้างลงบนพื้น พูดด้วยสีหน้าที่เคารพว่า “ทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องทรงเดินทางได้อย่างปกติ เมื่อถึงปากแม่น้ำไป๋เจียง พระองค์ลงจากหลังม้าเพื่อเตรียมข้ามแม่น้ำ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า ‘หัวใจของข้า’ และก็หมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้คว้าที่พักแขนของเก้าอี้ไว้ หรี่ตาและถามว่า “เสด็จอาพูดเพียงเท่านี้เองหรือ?”

ทั้งสองพยักหน้าด้วยความมั่นใจแล้วพูดว่า “พูดเพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”

อินชิงเสวียนเลิกคิ้วเล็กน้อย เดินรุดไปด้านหน้าแล้วถามว่า “ตอนที่ท่านอ๋องสังหารอาซือหลาน มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องและอาซือหลานขึ้นไปบนหน้าผา พวกกระหม่อมรออยู่ด้านล่าง จึงมองไม่เห็นพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องลงมาแล้วบอกพวกกระหม่อมว่า อาซือหลานกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายแล้ว”

เมื่อได้ยินคำนี้ อินชิงเสวียนก็ใจสั่นทันที

หากว่าหมอหลวงเหลียงไร้ทางรักษา เช่นนั้นก็จำเป็นต้องไปหาเขา

เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาเสนอออกไปเปิดจวนนอกวังอยู่หลายครั้ง แต่ตัวเองกลับไม่เคยช่วยเขาได้สำเร็จ นางก็รู้สึกผิดในใจ

เย่จิ่งอวี้เดินมาข้างเตียง และใช้มือสัมผัสที่ต้นคอของเย่จั้น

หัวใจของเขายังเต้นอยู่ แต่เต้นช้าเหลือเกิด ชีพจรก็อ่อนแรงเป็นอย่างมาก จึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “คืนนี้เสด็จอาจะมีอันตรายหรือไม่?”

หมอหลวงเหลียงครุ่นคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า “ไม่น่ามีอันตรายพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้สีหน้านิ่ง และพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นจงรักษาอย่างสุดความสามารถเถอะ หากเสด็จอาฟื้น ให้รีบส่งคนไปรายงานข้า”

หมอหลวงเหลียงคุกเข่าลงพื้นและโค้งคำนับ

“พ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้ดึงมือของอินชิงเสวียน

พูดขึ้นเสียงเบา “พวกเรากลับกันเถอะ อยู่ที่นี่เกรงว่าจะรบกวนหมอหลวง”

“เพคะ”

ทั้งสองออกจากสำนักหมอหลวง เดินกลับตำหนักจินหวูด้วยความเงียบตลอดทาง

ขณะเดินเข้าประตู เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจและพูดว่า “นอกจากเสด็จแม่ของข้าแล้ว เสด็จอานับเป็นอีกคนที่ดีกับข้ามากที่สุด หากไม่มีเสด็จอา ข้าก็คงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเจิดจรัสมากเพียงใด และไม่รู้ว่าโลกภายนอกอันตรายมากเพียงใด”

อินชิงเสวียนรินชาน้ำพุวิญญาณให้เย่จิ่งอวี้หนึ่งแก้ว และนั่งลงฟังข้างๆ อยู่เงียบๆ

เย่จิ่งอวี้รับน้ำชามาและดื่มหนึ่งอึก พร้อมพูดขึ้นราวกับกำลังไล่ย้อนอดีต “ข้าออกจากวังครั้งแรก ก็มีเสด็จอาเป็นผู้แอบพาข้าออกไป และครั้งนั้นเองที่ข้าได้พบกับเสวียนเอ๋อร์ จากนั้นเสด็จอาก็พบทหารองครักษ์ตามหาตัวข้า ครั้งนั้น ข้าตกใจจบแทบไม่ได้สติ และเสด็จอาเป็นคนแบกข้ากลับวัง”

“หลังจากเหล่าขุนนางรู้เรื่อง ต่างพากันใส่ความว่าข้าและเสด็จอาร่วมกันจัดตั้งพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และคิดแผนไม่ซื่อ ด้วยเหตุนี้เสด็จอาจึงขอออกรบไปเฝ้าสังเกตการณ์ที่ชายแดน และให้คำสาบานหนักแน่นว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไร จะไม่มีทางกลับมาที่ราชสำนักอีกเป็นอันขาด”

“แม้ว่าเสด็จอาจะกลับมาร่วมงานวัดเกิดของไทเฮาและฮ่องเต้องค์ก่อน ข้ากลับรู้สึกว่าเขาไม่มีความสุขเหมือนในอดีตอีกแล้ว”

เขาหลับตาลงและถอนหายใจยาวๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าติดค้างเสด็จอาไว้ หากวันนั้นข้าไม่ดื้อรั้นที่จะออกนอกวัง เสด็จอาก็คงไม่ต้องไปยังเมืองซุ่ยหานที่อยู่แสนไกล”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์