เย่จิ่งหลานพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “เช่นนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ค่อยมาหาข้าใหม่”
อินชิงเสวียนไร้ซึ่งทางเลือก
“เย่จั้นนับเป็นผู้มีบุญคุณต่อตระกูลอิน เห็นแก่ที่เราสองคนเป็นคนบ้านเดียวกัน ข้าหวังว่าท่านจะช่วยไปตรวจดูว่าเขาป่วยด้วยโรคอะไรกันแน่?”
เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่เต็มใจ “ผู้มีบุญคุณของหวงกุ้ยเฟยเกี่ยวอะไรกับข้า?”
อินชิงเสวียนพูดไม่ออกทันที
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง เงยหน้าและพูดอย่างไม่เกรงใจ
“ท่านน่าจะรู้ว่าฝ่าบาทมีท่าทีต่อข้าอย่างไร ตอนนี้มีเพียงข้าผู้เดียวที่สามารถเปลี่ยนความคิดของฝ่าบาทได้ หากท่านอยากออกจากวังไปเปิดจวนของตัวเอง จำเป็นต้องให้ข้าเป็นผู้พูดเสนอ และข้าคิดแล้วว่าจะไปเจรจากับโหรหลวงด้วยตัวเอง เพียงแค่ต้องแต่งเรื่องขึ้นมามั่วๆ ท่านก็จะออกจากวังได้แล้ว แต่ว่าท่านต้องช่วยข้าจัดการปัญหาที่ล้นมือก่อน ไม่เช่นนั้นท่านคงต้องรออีกหลายปี”
เย่จิ่งหลานกัดเนื้อเสียบไม้ มองนางกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
“นี่ท่านกำลังขู่ข้าใช่ไหม?”
อินชิงเสวียนยักไหล่
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น เพราะในโลกใบนี้ มีเพียงเราสองคนที่รู้จักกันดีที่สุดแล้ว”
เย่จิ่งหลานแค่นเสียงหัวเราะและพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าท่านมีอารมณ์ร่วมมากเกินไป ท่านอาจไม่ยินดีที่จะรับฟัง แต่ข้าก็อยากให้ท่านช่วยทำความเข้าใจด้วย การอาศัยอยู่ในยุคสมัยนี้ ท่านและข้าเป็นเพียงผู้มาเยือนเท่านั้น อย่าได้คิดจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของตัวเองก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”
อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาและถามว่า “ท่านจำเป็นต้องแยกแยะชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ ท่านไม่มีความรู้สึกผูกพันกับไท่ผินสักนิดเลยหรือ?”
เมื่อนึกถึงผู้หญิงขี้บ่นคนนั้น สีหน้าของเย่จิ่งหลานก็นิ่งฉย และแฝงความโกรธแค้นอีกเล็กน้อย
หากไม่ใช่เพราะเขาพบความลับบางอย่างโดยบังเอิญ เขาอาจยังไม่คิดออกจากวัง
หากความลับนั้นถูกเปิดเผย เขาและไท่ผินอาจไม่มีชีวิตรอด
เย่จิ่งหลานกินเนื้อเสียบไม้ไปด้วย และพูดอย่างคลุมเครือว่า “เงื่อนไขเดิม ช่วยให้ข้าได้ออกจากวัง”
อินชิงเสวียนไม่มีหนทางอื่น อีกทั้งก่อนหน้านี้นางรับปากกับเขาแล้วจริงๆ จึงยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อเจรจาใหม่อีกครั้ง “หากข้าช่วยจัดการเรื่องนี้สำเร็จ ท่านจะช่วยเย่จั้นทันทีไหม?”
เย่จิ่งหลานหัวเราะเหอะๆ และพูดว่า “แน่นอน เอาเงินผู้อื่นมาแล้วก็ต้องจัดการปัญหาให้ นี่เป็นเป้าหมายสำคัญของข้ามาโดยตลอด”
“ดี เช่นนั้นข้าจะไปฝ่าบาทเดี๋ยวนี้เลย”
อินชิงเสวียนไม่อยากสิ้นเปลืองเวลา จึงรีบเดินลงจากศาลาหิน เย่จิ่งหลานพูดตะโกนตามหลังว่า “หวงกุ้ยเฟยค่อยๆ เดินนะ ข้าจะรอฟังข่าวดีของท่านอยู่ที่นี่”
ฝีเท้าของอินชิงเสวียนชะงักเล็กน้อย และเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา
เมื่อมองเงาหลังของนาง เย่จิ่งหลานก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก เขาไม่ได้อยากทำให้อินชิงเสวียนต้องลำบากใจ แต่เพราะการออกจากวังไม่อาจล่าช้าได้อีกแล้ว แผนต่อไปคือการออกไปจากเมืองหลวง
เมื่อนึกถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง เย่จิ่งหลานก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที เขาหยิบบุหรี่ออกมาจากหน้าอกหนึ่งมวน เมื่อจุดไฟแล้วก็สูบเข้าปากด้วยความเคลิบเคลิ้ม จากนั้นก็หยิบเนื้อเสียบไม้ขึ้นมา พร้อมกัดเข้าปากคำโต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...