สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 431

ไอเย็นยะเยือกชนิดหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของคนชุดดำ ทำให้อินชิงเสวียนชาวาบไปทั้งศีรษะ

นางหยุดฝีเท้าลง กระซิบกับเสี่ยวอานจื่อ “เจ้ากลับตำหนักไปก่อน ปกป้องจ้าวเอ๋อร์ให้ดี”

เสี่ยวอานจื่อไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นคนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติงราวกับภูตผีก็ไม่ปาน เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นในใจแล้ว

“พระสนม...”

ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง

“อย่าพูดมาก รีบไปซะ”

เสี่ยวอานจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”

คนชุดดำทำราวกับมองไม่เห็นเสี่ยวอานจื่อ ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งแต่เพียงอินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเสี่ยวอานจื่อหายตัวไป นางจึงประกบมือคำนับพูดว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเข้าวังมาด้วยธุระอันใด”

คนผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงแหบกระด้าง “ลิ่นเซียวไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง และพิณก็ไม่ได้อยู่กับเขา”

อินชิงเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พิณก็ไม่ได้อยู่ที่ผู้เยาว์เช่นกัน ผู้อาวุโสที่เป็นถึงยอดฝีมือผู้ถือสันโดษ คงไม่บีบบังคับผู้เยาว์เพียงเพราะเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวกระมัง หากผู้อาวุโสดึงดันต้องการให้แสดงวรยุทธ์ที่แท้จริง ผู้เยาว์ก็พร้อมรับใช้”

สิ่งที่นางพูดนั้นใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ไม่ถ่อมตัวแต่ก็ไม่หยิ่งทะนง

ดวงตาคู่นั้นเปรียบเสมือนวารีในสารทฤดู ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย

คนชุดดำยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ”

“หากผู้อาวุโสยืนกรานที่จะคิดเช่นนั้น ผู้เยาว์ก็ทำอะไรไม่ได้”

ถึงอย่างไรอินชิงเสวียนก็มีทักษะห้าสิบห้าสิบ อย่างมากก็บาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่

และยามนี้พิณก็อยู่ในมิติ หากนางไม่เอาออกมา เขาก็ไม่มีวันหาเจอไปตลอดชีวิต

คนชุดดำแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา

“อย่าคิดว่าเจ้าที่แอบเรียนวรยุทธ์งูๆ ปลาๆ แล้วจะสามารถข่มขู่ข้าได้ ในสายตาของข้า สิ่งเจ้าเรียนมาก็เป็นเพียงแค่การหัดเดินของเด็กวัยเตาะแตะเท่านั้น”

“จะหัดเดินก็ดี จะเดินเตาะแตะก็ช่าง ถ้าผู้อาวุโสยืนกรานไม่ยอมไม่ เช่นนั้นเราก็มาลองดูกัน”

พลังที่แลกจากมิติพลุ่งพล่านออกมาจากร่าง เสื้อผ้าของอินชิงเสวียนปลิวไสวโดยที่ไม่มีลมพัดผ่าน เรือนผมสีดำสนิทก็ปลิวสยายเนื่องจากพลังอันแข็งแกร่งที่ปะทุออกมา

ขับเน้นดวงหน้าโสภาให้องอาจผึ่งผาย เต็มไปด้วยพลังอันน่าทึ่ง

แววตาของคนชุดดำสงบ ราวกับไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับอินชิงเสวียน เขาเอ่ยแช่มช้า “อาการบาดเจ็บของเย่จั้น มีเพียงพิณการเวกเท่านั้นที่จะรักษาได้ นอกจากเจ้าอยากนิ่งดูดาย มองดูผู้มีพระคุณของตระกูลอินตายโดยที่ไม่ทำอะไร?”

อินชิงเสวียนตกตะลึงไปชั่วขณะ

“พิณการเวก หมายความว่าอย่างไร”

คนชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “พิณการเวกหาใช่เครื่องดนตรีธรรมดาไม่ ทำนองเพลงก็ยิ่งไม่ธรรมดา มีพลังในการสังหารและช่วยชีวิตผู้คน หากเจ้าเต็มใจที่จะมอบพิณให้ข้า ข้าก็สามารถช่วยชีวิตเย่จั้นได้”

จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงทำนองเพลงใจหินผาและเพลงหยกรัตติกาลได้ทันที หรือว่าทั้งสองทำนองเพลงนี้มีต่างก็มีท่าไม้ตายของใครของมัน

แต่เมื่อพิจารณาจากท่วงทำนองที่เนิบช้าผ่อนคลายแล้ว เพลงใจหินผาดูเหมือนจะเหมาะกับการเยียวยารักษามากกว่า

หากตัวเองสามารถบรรเลงได้...

คนชุดดำดูเหมือนจะมองผ่านความคิดของอินชิงเสวียน พูดอย่างเย็นชา “ทางที่ดีเจ้าไม่ควรมักง่ายทดลองเอง พิษที่เย่จั้นได้รับนั้นมาจากกู่กินหัวใจที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง หากไม่มีกำลังภายในชั้นสูงช่วยเหลือ ก็ไม่มีทางกำจัดพิษกู่ได้”

กู่กินหัวใจ?

อินชิงเสวียนตกตะลึง ทันใดนั้นก็นึกถึงวัตถุโปร่งใส

ครั้นจึงเงยหน้าถามโดยเร็ว “ถ้าใช้มีดผ่าออกมา ไม่ทราบว่าจะสำเร็จได้หรือไม่”

คนชุดดำตำหนิเสียงเย็น “ไร้สาระ ถ้าใช้มีดผ่าออกมาได้ ยังจะเรียกว่ากู่อีกหรือ กูเป็นสิ่งมีชีวิตที่หล่อเลี้ยงด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์ หนอนกู่ระดับสูงสามารถพัฒนาสติปัญญาและรู้วิธีป้องกันตัวเอง เมื่อใดที่ถูกสัมผัสก็จะสลายร่างออกไป ถึงตอนนั้นจะยิ่งกำจัดได้ยากขึ้น”

อินชิงเสวียนรู้สึกสับสนงุนงง

คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนอนกู่จะร้ายกาจขนาดนี้

ใครกันแน่ที่เป็นเสกกู่ใส่เย่จั้น

นอกจากนี้นางยังมีข้อกังขาอีกประการหนึ่ง

“เหตุใดผู้อาวุโสจึงรู้เรื่องราวในวังมากเพียงนี้”

“ในเมื่อมันไม่เกี่ยวข้อง เหตุใดจึงมาหาเรื่องเสวียน‍เอ๋อร์อยู่เรื่อย”

อินชิงเสวียนดึงแขนเสื้อของเย่‍จิ่ง‍อวี้ แล้วกระซิบว่า “เขาบอกว่าเขาสามารถช่วยท่านอ๋องได้ เขายังบอกอีกว่าท่านอ๋องไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ถูกเสกกู่ใส่”

แม้ว่าเสียงของอินชิงเสวียนจะแผ่วเบา ทว่าคนชุดดำก็ยังได้ยินได้ชัดเจน

เขาพูดเรียบๆ “นางพูดถูก ข้าสามารถช่วยเย่จั้นได้ และเวลาของเย่จั้นเหลือไม่มากแล้ว หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็รับผลที่ตามมากันเอง”

เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเย่จั้น เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็หวั่นใจ

เขารู้จักเสด็จอาได้อย่างไร

ครั้นเห็นว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้นิ่งเงียบไม่ปริปาก อินชิงเสวียนก็อดกังวลเสียมิได้

“ฝ่าบาท ช่วยคนสำคัญกว่า พวกเราลองเชื่อเขาสักครั้งเถิด”

คนชุดดำกล่าวว่า “ข้ายังมีเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่ง หลังจากช่วยคนแล้ว ต้องให้ข้านำพิณการเวกกลับหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางคิดในใจว่า ถึงอย่างไรนางกับเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ไม่สามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้อยู่แล้ว หากลิ่นเซียวถามถึง ก็แค่บอกว่าพิณถูกสำนักแห่งเสียงเอาไปก็พอแล้ว และนี่ก็ทำเพื่อช่วยชีวิตคนด้วย ลิ่นเซียวคงจะตำหนินาง

“ได้ ข้ารับปาก รอข้าประเดี๋ยว”

อินชิงเสวียนรีบใช้ความเร็วของมิติออกจากตรอกตรงนี้ไปอย่างรวดเร็ว

พิณอยู่ในมิติ หากนำสิ่งของขนาดใหญ่เช่นนี้ออกมาโดยไม่ระวัง อาจจะตกใจกันได้

เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนคิดจะมอบพิณให้กับคนผู้นี้ เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ และรู้สึกซาบซึ้งเป็นล้นพ้น

โดยหารู้ไม่ว่าอินชิงเสวียนก็รู้สึกละอายใจเช่นกัน

ถ้าเย่จั้นตายจริงๆ นางและเย่จิ่งหลานก็จะกลายเป็นฆาตกรทางอ้อม

ในยุคนี้ การแพทย์แผนตะวันตกไม่ใช่หนทางการรักษาของทุกสรรพสิ่ง

นางมาที่ด้านหลังตรอกและนำพิณการเวกออกจากมิติ

ในตรอกอีกด้านหนึ่ง เย่‍จิ่ง‍อวี้และคนชุดดำยังคงเผชิญหน้ากันอยู่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์