“หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์คือที่ใดกันแน่”
เย่จิ่งอวี้มองไปที่คนชุดดำและถามอย่างเย็นชา
ทันทีที่เขาได้ยินคำนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเคยได้ยินมาก่อน
สายตาคนชุดดำจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเย่จิ่งอวี้โดยไม่ละสายตา โดยที่อารมณ์ความรู้สึกในดวงตาฉายแวววูบไหวไม่แน่นอน
“ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครในโลกจะหาพบได้ ฝ่าบาทอย่าถามมากจะดีกว่า สำนักที่ถือสันโดษไม่เกี่ยวข้องกับทางโลก และฝ่าบาทก็ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์”
เย่จิ่งอวี้ยิ้มแดกดัน “ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับไต้หล้า แล้วเหตุใดถึงต้องมาแย่งชิงพิณการเวกไปด้วยเล่า”
คนชุดดำกล่าวว่า “เดิมทีพิณการเวกเป็นของอาจารย์ในสำนักของข้า เป็นลิ่นเซียวที่ล่อลวงหลี่เฟิ่งอี๋และนำพิณนี้มาสู่ใต้หล้า หากได้พิณนี้แล่ว ข้าสัญญาว่าจะไม่มารบกวนพวกเจ้าอีก”
เย่จิ่งอวี้ไม่เชื่อคำมุสาของนาง จึงถามอีกว่า “แล้วกระพรวนทองนั่นเจ้าได้มาจากที่ใด มีคุณสมบัติอย่างไรกันแน่”
อินชิงเสวียนกลับมาพอดี เมื่อได้ยินเย่จิ่งอวี้ถามเกี่ยวกับกระพรวนทอง นางก็ชะงักกึกทันที
เย่จิ่งอวี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพราะเสียงกระพรวนมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสนี้ถามให้กระจ่าง
คนชุดดำกระซิบ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทถูกรบกวนด้วยเสียงกระพรวนมาตลอด แล้วจะไม่เกี่ยวได้อย่างไร”
อินชิงเสวียนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเย่จิ่งอวี้ โดยที่ถือพิณการเวกอยู่ในอ้อมแขน
คนชุดดำเงียบอยู่นานและพูดว่า “ต่อไปข้าจะไม่มาเมืองหลวงอีก ก็จะไม่มีใครรบกวนฝ่าบาทได้อีก มีบางสิ่งที่ฝ่าบาทจำไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายเสมอไป”
“เจ้ารู้อะไรกันแน่”
เย่จิ่งอวี้รวบนิ้วทั้งห้าเข้าหากัน รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ในฝ่ามือ
คนชุดดำหัวเราะและพูดว่า “แม้ว่าฝ่าบาทจะมีอาการปวดหัว แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ชีวิตของเย่จั้นตกอยู่ในความเสี่ยง เขาเป็นถึงผู้มีพระคุณของฝ่าบาท และเป็นคนใกล้ชิดที่สุดของฝ่าบาท หากเขาตาย ฝ่าบาทก็จะกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าเขา”
ทันใดนั้นใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เย็นชา พลังที่ยังคงอยู่ในมือกำลังจะระเบิดออกมา แต่ครั้นนึกถึงใบหน้าที่ซีดเซียวของเย่จั้น เขาก็สะกดกลั้นเอาไว้
“เอาล่ะ ข้าจะให้เจ้าไปช่วยเย่จั้น แต่เจ้าอย่าได้ใช้กลอุบายใดๆ จะดีกว่า ไม่เช่นนั้น ต่อให้ข้าต้องเสี่ยงชีวิตสักเพียงใด ข้าก็จะรั้งตัวเจ้าไว้ในวังให้ได้!”
เขาหยิบพิณจากมือของอินชิงเสวียน แล้วพูดอย่างเย็นชา “เชิญเถอะ”
คนชุดดำพยักหน้า จากนั้นเดินตามทั้งสองไปยังสำนักหมอหลวง
ในเวลานี้ ชีพจรของเย่จั้นเบาบางลงมาก ใบหน้าก็ซีดลง
หมอหลวงเหลียงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่พยายามป้อนยาบำรุง เพื่อยื้อลมหายใจเอาไว้
หลังจากกินยาไปไม่กี่ช้อน เย่จั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดอีก
หมอหลวงเหลียงไม่วายเหงื่อออก
หวงกุ้ยเฟยกับฝู้อี้อ๋องทำการรักษาอย่างไรกัน เหตุใดจึงสาหัสยิ่งกว่าเก่า
เขาดึงเสื้อผ้าของเย่จั้นออก และเห็นเลือดไหลออกมาจากหัวใจ จึงอดตกใจไม่ได้ หรือว่าพวกเขาแหวกอกท่านอ๋องออก
หากพลังชีวิตได้รับความเสียหาย ก็เกรงว่าจะรักษาได้ยากยิ่งขึ้น
ขณะที่เขากำลังจะสั่งยาบำรุงพลังชี่และเลือด ประตูก็เปิดออกทันที
เห็นเย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจากด้านนอกพร้อมกับคนชุดดำที่ปิดหน้า
“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้โบกมือ “ตามสบาย พวกท่านถอยออกไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงเหลียงคิดในใจว่า ฝ่าบาทไปเชิญเทพมาจากที่ใดอีก แม้ว่าเขาจะต้องการสังเกตการณ์มากเพียงใด แต่รับสั่งของฮ่องเต้ก็ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพาคนออกจากห้องโถง
คนชุดดำเดินไปที่ด้านข้างของเย่จั้น ยื่นมือออกไปตรวจชีพจรของเขา และดวงตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เราต้องรีบช่วยเหลือเขาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นชีวิตของท่านอ๋องจะตกอยู่ในอันตราย เอาพิณมาให้ข้า”
เย่จิ่งอวี้ยื่นพิณให้ คนชุดดำนั่งขัดสมาธิ จากนั้นนิ้วเรียวยาวก็เริ่มดีดดึงสายพิณ
เมื่อมองดูมือของเขา อินชิงเสวียนก็เหมือนจะตระหนักได้ว่า ช่างคล้ายมือของสตรียิ่งนัก
ชั่วพริบตาเดียว เสียงพิณก็ดังขึ้นแล้ว
ทว่าไม่ใช่ทำนองเพลงใจหินผา หากแต่เป็นทำนองเพลงที่อินชิงเสวียนไม่เคยได้ยินมาก่อน
จังหวะของเพลงไม่แน่นอน บางทีก็เร็ว บางทีก็ช้า ฟังดูวุ่นวายแต่ดูเหมือนว่าจะมีจังหวะวิเศษบางอย่างที่ไม่ทำให้รู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางงุนงง คือเจ้าของพิณตัวนี้เป็นใครกันแน่
ขณะที่จมอยู่กับความคิด เย่จั้นก็ส่งเสียงร้องโอดโอยออกมา
“ฝ่าบาท...เหตุใด...จึงเสด็จมาที่นี่”
น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง อินชิงเสวียนก็รีบหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท ให้ท่านอ๋องดื่มน้ำหน่อยเถิดเพคะ”
“อืม”
เย่จิ่งอวี้รับถุงน้ำ แล้วให้เย่จั้นดื่ม
หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของเย่จั้นก็ดูดีขึ้นมากจริงๆ
ดูเหมือนว่าน้ำพุวิญญาณของนางจะไม่ไร้ผล แต่ก็ไม่สามารถจัดการกับกู่พิษได้
“ที่นี่คือ...เมืองซุ่ยหานหรือ”
เย่จั้นมองไปรอบๆ รู้สึกสับสนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
เย่จิ่งอวี้นั่งลงข้างเตียง แล้วพูดอย่างอบอุ่น “ที่นี่คือเมืองหลวง เป็นหน่วยทหารเปลวเพลงสีชาดที่ส่งเสด็จอากลับมา”
เย่จั้นตกใจ ยันพื้นเตียงหมายจะลุกขึ้นนั่ง
“ในเมืองซุ่ยหานยังมีศึกสงคราม กระหม่อมจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เย่จิ่งอวี้กดไหล่ของเขาให้นอนราบ
“รองแม่ทัพของเสด็จอาได้พาคนกลับเข้าเมืองก่อนแล้ว เสด็จอาอย่าเพิ่งร้อนใจ ถึงต้องกลับไป แต่ก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้หายก่อน”
“กระหม่อมไม่เป็นไร”
เย่จั้นอยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่รู้สึกเจ็บปวดที่บริเวณหัวใจอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดทำให้เขาหายใจเฮือก และนอนลงอีกครั้ง
อินชิงเสวียนเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิด ไม่กล้ามองหน้าเย่จั้น
คราวนี้เจตนาดีกลับทำให้เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...