เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เสด็จอาไม่เคยขอร้องข้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากขอรร้องข้า แม้ว่าจะมีความยากลำบากและเสี่ยงอันตรายมากมาย ข้าก็จะช่วยเขาเติมเต็มความปรารถนาของเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่า...ทำไมเสด็จอาถึงอยากสืบหาหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”
จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงอินหลี
หลังจากเล่นดนตรีนางหายตัวไป และตอนนี้มีคนมาขโมยพิณ จึงอดปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้
แต่เมื่อดูท่าทางของเย่จิ่งอวี้ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เรื่องนี้เลย
“ฝ่าบาทไม่กลัวว่าจะเป็นการไปก่อกวนสำนักสันโดษหรอกหรือ”
อินชิงเสวียนถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมอง
“ข้าย่อมไม่ต้องการไปก่อกวนพวกเขาอยู่แล้ว แต่ข้ายิ่งไม่อยากละอายใจต่อเสด็จอา”
เย่จิ่งอวี้หยุดชะงัก และกุมมือเล็กๆ ของอินชิงเสวียนไว้ในฝ่ามือของเขา
“หากวันหนึ่ง เสวียนเอ๋อร์ต้องการให้ข้าทำอะไรสักอย่าง แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะยอมทำเพื่อเสวียนเอ๋อร์ ถึงตัวตายก็ไม่หวั่น”
เมื่อมองดูดวงตาที่ลึกล้ำราวกับทะเลลึกคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกเหมือนถูกไฟดูด หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
นางหลุบตาลง รอยยิ้มก็ระบายออกมาจากมุมริมฝีปากที่เม้มแน่น
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็เต้นรัว เขาโอบแขนรอบเอวของนาง
อินชิงเสวียนดูคล้ายจะตกใจ เงยใบหน้าขาวราวกับหยกขึ้น
ริมฝีปากของเย่จิ่งอวี้ทาบทับลงมาทันที
ลมหายใจอุ่นเข้าครอบครองประสาทสัมผัสของอินชิงเสวียนโดยเร็ว ออกซิเจนทั้งหมดในสมองของนางดูเหมือนจะถูกปล้นไปชั่วขณะหนึ่ง ทำให้นางหายใจไม่ออก
นางคว้าเสื้อของเย่จิ่งอวี้ อย่างทำอะไรไม่ถูก
เนิ่นนาน ครั้นแล้วริมฝีปากก็แยกออก
อินชิงเสวียนหายใจหอบเบาๆ ก้มหน้าก้มตาอย่างเขินอาย
เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่เป็นสีชมพูนี้ เย่จิ่งอวี้ก็แทบจะไม่สามารถระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้ เขาแทบอยากจะกดตัวอินชิงเสวียนไว้ใต้ร่างเสียเดี๋ยวนั้น แสดงความรักและความเสน่หาที่มีต่อนาง
อย่างไรก็ตาม เขายังมีงานที่ต้องสะสางอยู่
เขาส่งอินชิงเสวียนกลับไปที่ตำหนักจินหวู และกลับไปที่ห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว
เสียงดีดนิ้วดังขึ้น เจวี๋ยอิ่งก็เหาะลงมาทันที
“ฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบ “ส่งคนไปสืบเสาะหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่าง ส่งคนไปจับตาดูเย่จิ่งหลานไว้ด้วย ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาดูแปลกชอบกล”
เจวี๋ยอิ่งกล่าวอย่างนอบน้อม “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วถามว่า “ทางด้านช่องผาแคบมีข่าวอะไรหรือไม่”
“ไม่มี ตอนนี้พื้นที่ค้นหาได้ขยายออกไปเป็นรัศมีหลายร้อยลี้แล้ว...”
เจวี๋ยอิ่งพูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดครู่หนึ่ง
“ตามรายงานขององครักษ์เงา พวกเขาพบหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ที่นั่นมีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย เหลือรอดเพียงสตรีคนเดียวที่ยังหายใจอยู่ กระหม่อมสั่งให้คนพาสตรีคนนั้นมาทำการรักษาที่เมืองหลวง ไม่รู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาซือหลานหรือไม่ หรืออาจมีนักโทษคนสำคัญคนอื่นอีก”
เย่จิ่งอวี้ได้ยินสิ่งนี้ก็ขมวดคิ้ว
“มีคนถูกฆ่าตายไปหลายสิบคนหรือ”
เจวี๋ยอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พ่ะย่ะค่ะ ไม่มีใครรอด สตรีคนนั้นก็ถูกกระบี่แทงเข้าที่หน้าอก จะสามารถช่วยชีวิตได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ”
เย่จิ่งอวี้ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คดีนี้ต้องถูกสอบสวนให้ถึงที่สุด ให้เจ้าเป็นผู้ดูแลการสอบสวนด้วยตัวเอง ต้องช่วยสตรีคนนั้น และนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและทูลลากลับไป
เย่จิ่งอวี้ตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง
ที่เขาสืบเสาะหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เพียงเพราะเสด็จอาสิบสาม ตัวเขาเองรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้กับชื่อนี้
เสี่ยวหนานเฟิงจ้องมองด้วยดวงตากลมโต ราวกับว่าเขาไม่เข้าใจว่าหมาป่าตัวร้ายคืออะไร
อินชิงเสวียนอ้าปาก ทำท่าเหมือนจะกัดคน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คว้าตัวเสี่ยวหนานเฟิง
เสี่ยวหนานเฟิงไม่กลัวเลยสักนิด แต่กลับหัวเราะเสียยกใหญ่
อินชิงเสวียนแกล้งลูกล้มเหลว จึงพลอยหัวเราะไปด้วย
สองแม่ลูกเล่นกันสักพัก เสี่ยวหนานเฟิงก็ลืมเรื่องที่จะออกไปข้างนอก อินชิงเสวียนจึงอุ้มเขาเข้าไปในห้อง ชงนมผงให้ขวดหนึ่ง พอเขาดื่มนมเสร็จแล้ว ก็กล่อมเขาพาเข้านอน
เสี่ยวหนานเฟิงวางหน้าเล็กๆ บนแขนของอินชิงเสวียน ดวงตาคู่โตกะพริบตาปริบๆ คอยเฝ้ามองแม่ของตัวเองพักใหญ่
อินชิงเสวียนจูบแก้มนุ่มนิ่มของเขาเบาๆ แล้วพูดอ่อนโยน “เด็กดี หลับตานะ ถึงเวลานอนแล้ว”
เสี่ยวหนานเฟิงเริ่มพูดอ้อแอ้เลียนแบบคำพูดทันที
อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่น จึงยื่นมือออกไปปิดตาของเสี่ยวหนานเฟิง
เมื่อนางเอามือออก ก็พบว่าเจ้าเด็กอ้วนยังคงมองนางอยู่ จึงรู้สึกทั้งขันทั้งระอา
เสี่ยวหนานเฟิงคิดว่าอินชิงเสวียนกำลังเล่นกับเขาอยู่ เขาหัวเราะอีกครั้ง
พอได้ฟังเสียงหัวเราะที่สดใส ดูไม่เหมือนง่วงนอน อินชิงเสวียนก็หยิบเป็ดเหลืองตัวเล็กออกมาเสียดื้อๆ แล้วปล่อยให้เขานอนเล่นบนเตียงเองคนเดียว
ทันทีที่เสี่ยวหนานเฟิงมาถึงเตียง เขาก็ร่าเริงมีชีวิตชีวาทันที มือทั้งสองข้างจับเท้าน้อยๆ แล้วกลิ้งไปรอบเตียงเล่นอย่างมีความสุข
อินชิงเสวียนหาวหวอด ยกขาขึ้นขววางข้างเตียงไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เสี่ยวหนานเฟิงตกจากเตียง
ตอนนี้ลูกอายุได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว อาจเป็นเพราะเขาได้รับการเลี้ยงดูจากน้ำพุวิญญาณ ร่างกายของเสี่ยวหนานเฟิงจึงแข็งแรงมาก เขาสามารถคลานได้นานแล้ว ตอนที่อยู่ในรถหัดเดินก็สามารถเดินได้วิ่งได้แล้ว
ยายหลี่บอกว่าเด็กหัดเดินเร็วไปจะไม่ดี ขาจะโก่งได้ง่าย ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงไม่ให้เขาใช้รถหัดเดิน
ถึงอย่างไรนางก็ไม่รู้ว่าจะดูแลลูกอย่างไร ยิ่งไม่มีประสบการณ์แบบยายหลี่ ซึ่งเจ้าของร่างเดิมก็เติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูจากยายหลี่
อย่างไรก็ตาม ต้องให้ความสนใจกับการอาหารทางวิทยาศาสตร์บางอย่าง ตอนนี้เสี่ยวหนานเฟิงสามารถกินอาหารเสริมได้แล้ว อินชิงเสวียนยุ่งทั้งวัน จึงไม่มีเวลาศึกษาอาหารสำหรับเด็ก
เมื่อเห็นว่าลูกกำลังเล่นคนเดียวอย่างสนุกสนาน นางจึงแลกซื้อตำราอาหารสำหรับการเลี้ยงดูบุตรจากมิติ และนั่งอ่านอยู่ข้างเตียงอย่างตั้งใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...