ทันทีที่กวนเซี่ยวโพล่งขึ้น ทุกคนก็ถลึงตามองด้วยความโกรธทันที
“เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนพวกเรา เชื่อหรือไม่พวกเราอาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้าอีก”
“อย่าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าติดตามแม่ทัพอิน แล้วจะมาสำคัญตัวเองเช่นนี้ อย่างเจ้าไม่มีค่าอะไรด้วยซ้ำ”
“ใช่แล้ว เป็นแค่เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังกล้าคุยเรื่องปกป้องบ้านเมืองกับพวกเรา ตอนที่เราอยู่ในสงคราม ไม่รู้ว่าเจ้ายังเป็นวุ้นอยู่ในท้องของสตรีผู้ใดอยู่”
แม่ทัพเหล่านี้พูดฉอดๆ คนละประโยคสองประโยค พวกเขาไม่กล้ามุ่งเป้าไปที่อินจ้ง แต่กลับไม่เห็นกวนเซี่ยวอยู่ในสายตา
ในสายตาของพวกเขา กวนเซี่ยวเป็นเพียงขุนพลน้อยที่ฝ่าบาทเรียกให้มาร่วมกองทัพเท่านั้น คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร
“จริงอยู่ที่กวนเซี่ยวไม่เคยต่อสู้ในสงคราม แต่จอมพลเฒ่ากวนและแม่ทัพใหญ่กวนต่างก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้หลายร้อยสนาม ไม่เคยได้ยินรึว่าพ่อเสือไม่ให้กำเนิดลูกหมา แม่ทัพทั้งหลายกล่าวหาเขาเช่นนี้ ค่อนข้างด่วนตัดสินเกินไปแล้วกระมัง”
น้ำเสียงของอินจ้งแผ่วเบา แต่ทันทีที่เสียงนั้นเปล่งออกไป กลับเป็นเหมือนอสุนีบาตที่ฟาดเปรี้ยงทั้งๆ ที่ลมฝนสงบ ทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด
โหวเหนือมองกวนเซี่ยวอย่างประเมิน แล้วถามว่า “หรือว่าผู้นี้คือหลานชายของจอมพลเฒ่ากวน?”
อินจ้งกล่าวว่า “ถูกต้อง”
โหวเหนือแย้มยิ้มทันที
เขาประกบมือคารวะแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพน้อยกวน เสียมารยาทแล้ว!”
แม่ทัพอีกหลายคนเงียบลงในทันที แม้ว่าบิดาของเขาจะตายแล้ว แต่ปู่ของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ นั่นเป็นถึงคนที่แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังเคารพนับถือ พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร
กวนเซี่ยวพยักหน้าด้วยใบหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไรอีก ส่วนโหวเหนือที่เมื่อโดนตอกกลับนิ่มๆ ก็รีบไปคุยกับคนอื่น เพื่อคลี่คลายสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในเวลานี้ เหล่าทหารม้าที่อยู่ด้านล่างก็เริ่มตะโกนด่าทอท้าทายขึ้นมาอีก
ผู้นำเป็นแม่ทัพเฒ่าที่มีหนวดเคราสีดอกเลา เขาตะโกนขึ้นมาที่กำแพงเมือง “เจ้าหนูอินจ้ง กล้าสู้กับพวกเราหรือไม่”
อินจ้งค้ำมือบนกำแพงเมืองแล้วมองลงไป อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้ก็คนคุ้นเคยเก่านี่เอง น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งมาถึงหน้าด่าน ต้องพักฟื้นก่อน แม่ทัพเฒ่ามู่จัวค่อยมาใหม่วันหลังเถิด!”
มีคนตะโกนด่าทอท้าทายทันที “เจ้าหนูอินจ้ง เจ้าก็แค่นักเลงขี้ขลาด ไม่กล้าทำศึกกับจอมพลเฒ่าของเราด้วยซ้ำ”
ทันใดนั้นอินจ้งก็ยื่นมือออกมา หยิบธนูและลูกธนูจากทหารที่อยู่ข้างๆ น้าวคันธนูพร้อมกับใส่ลูกธนู จากนั้นก็ปล่อยสายธนูออกไป
ได้ยินเพียงเสียงหวือแหวกอากาศไป ชายที่ตะโกนด่าทอท้าทายก็ถูกคมธนูพุ่งแทงเข้าลำคอ เขาล้มตึงสิ้นชีวิตในทันที
เมื่อเห็นถึงความองอาจกล้าหาญของอินจ้ง ทหารทั้งหมดต่างก็ผงะถอยหลังกลับหลายก้าว
แม่ทัพมู่จัวแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา “ลงมือกับทหารเล็กๆ ถือว่ามีความสามารถที่ไหน”
อินจ้งพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าแค่สั่งสอนเด็กโง่เขลาเหล่านี้เท่านั้น วันนี้ข้าจะไม่ออกศึก หากแม่ทัพเฒ่าต้องการโจมตีเมือง ก็เชิญตามสบาย”
หลังจากที่อินจ้งพูดจบก็ลงมาจากหอคอยกำแพงเมือง ทิ้งกลุ่มทหารเจียงวูที่ตะโกนด่าทอท้าทายไว้หน้าด่าน
การด่าทอท้าทายดำเนินไปจนพระอาทิตย์ตก แล้วจึงหยุดลง
โหวเหนือและคนอื่นๆ ต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “แม่ทัพอินไม่อยากเผชิญหน้ากับพวกเขาแบบซึ่งๆ หน้างั้นหรือ”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
หลังจากที่อินจ้งพูดจบ เขาก็เหลือบมองทุกคนอีกครั้ง
“คืนนี้ข้าเตรียมจะเปิดฉากโจมตีเจียงวูอีก ไม่ทราบว่ามีแม่ทัพกี่คนที่จะส่งกำลังเสริมได้”
“นี่...”
ทุกคนมีสีหน้าลำบากใจ
อินจ้งเหลือบมองอย่างเย็นชา แล้วก็เข้าใจได้ทันที
“ในเมื่อแม่ทัพทุกคนไม่สะดวก เช่นนั้นก็ปล่อยให้กองทัพจากเมืองหลวงของเราออกศึกเอง แม่ทัพทุกคนรีบพักผ่อนเถิด”
ครั้นแล้วทุกคนก็ประกบมือค้อมศีรษะ และทยอยออกจากกระโจมไปทีละคน
“ได้ยินมาว่าอินจ้งหนักแน่นดั่งหินผา คิดไม่ถึงว่าเขาจะคุยง่ายเช่นนี้”
อีกคนหนึ่งพูดอย่างเหยียดหยาม “ก็แค่กระพือข่าวลือไปเท่านั้น อินจ้งเขาก็เป็นมนุษย์ ในเมื่อเป็นมนุษย์ย่อมมีความกังวล ตราบใดที่พวกเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เขาก็ทำอะไรไม่ได้”
ทุกคนต่างก็พยักหน้า แสดงถึงความไม่พอใจ แล้วกลับไปยังกระโจมพักของตน
พอตกกลางคืน อินจ้งได้ใช้กลอุบายเก่าของเขาซ้ำอีกครั้ง
ไม่ว่าอย่างไรทหารเจียงวูก็คิดไม่ถึงว่าอินจ้งจะโจมตีเมืองในยามราตรีอีก ดังนั้นทุกคนจึงเร่งรีบมือเป็นระวิงจนทำอะไรไม่ถูก
“ดี”
อาซือหลานพยักหน้า
“คืนนี้อินจ้งคงไม่มา เจ้ากับข้ารีบพักผ่อนเถอะ”
เขาถอดชุดออก แต่จูอวี้เหยียนก็ยังไม่จากไป นางมองเขาด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้ม
“อยากให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋องหรือไม่”
อาซือหลานยิ้มชั่วร้าย พูดว่า “ถ้าสามารถให้สิ่งสำคัญแก่ข้าได้ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นอาซือหลานเดินมาหาตัวเอง จูอวี้เหยียนก็จากไปทันทีด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน
หลังจากที่นางจากไป ดวงตาของอาซือหลานก็ฉายแววเย็นชา หญิงร่านอย่างจูอวี้เหยียนจะเข้าตาต้องใจเขาได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงอินชิงเสวียน อาซือหลานก็รวบนิ้วเข้าหากันอย่างอดไม่ได้ ดวงตาอำมหิต สตรีผู้นี้เป็นคนเดียวในชีวิตที่ทำให้เขาหวั่นไหว ไม่ว่าต้องใช้วิธีใด เขาก็ต้องทำเพื่อให้ได้นางมา...
เช้าวันต่อมา
อากาศแจ่มใส ไร้เมฆฝน
ทหารม้าเจียงวูไม่ได้มาปิดล้อมเมือง ด่านถงกู่จึงสงบเงียบอย่างหาได้ยากยิ่ง
อินจ้งเรียกแม่ทัพทั้งหมดมาที่หอคอยกำแพงเมือง
“คืนนี้ข้าเตรียมโจมตีโดยไม่ให้ตั้งตัวอีก ไม่ทราบว่าแม่ทัพทุกคนคิดอย่างไร”
ทุกคนหยุดพูดเสียเฉยๆ มีเพียงแม่ทัพที่มีนามว่าเหลียงเท่านั้นที่พูดว่า “ข้ายินดีให้ความร่วมมือกับแม่ทัพอินอย่างเต็มที่”
แล้วอินจ้งก็หันไปหาผู้อื่น
“แล้วพวกเจ้าตัดสินใจอย่างไร”
“เรื่องนี้...เจียงวูได้เพิ่มการป้องกันแล้ว ข้าคิดว่าอย่าผลีผลามส่งทหารไปจะดีกว่า”
“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น”
จู่ๆ ใบหน้าของอินจ้งก็มืดลง พูดเสียงกร้าว “พวกเจ้าได้รับคำสั่งให้รักษาด่าน แต่ไม่ต้องการส่งทหารออกรบ เคยได้ยินหรือไม่คำที่ว่า ครั้งหนึ่งครั้งสองยังพอทน แต่ไม่มีครั้งที่สามที่สี่ ทหาร จับตัวแม่ทัพไร้ประโยชน์เหล่านี้ไว้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...