โหวเหนือถอนหายใจแล้วพูดว่า “สาวน้อยภายในเข้มแข็งแต่ภายนอกอ่อนโยน แต่ไม่ใช่ผู้ที่มีอารมณ์อ่อนแอ ในเมื่อเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้ว จึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายๆ น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าหลงในอำนาจ หากไม่ใช่เพราะข้าบีบให้นางแต่งงานกับอันผิงอ๋อง ก็คงไม่เกิดเหตุยุ่งยากเช่นนี้”
อินจ้งพูดปลอบใจว่า “ทุกเรื่องต่างมีข้อยกเว้น อีกทั้งคุณหนูก็เป็นคนสนิทเพียงคนเดียวของท่านโหว เพื่อเห็นแก่ท่านโหว ไม่แน่ว่าอาจจะยินยอมสึก”
เมื่อได้ฟังคำพูดของอินจ้ง โหวเหนือจึงรู้สึกมีความหวังขึ้นอีกครั้ง
“แม่ทัพอินพูดมีเหตุผลทีเดียว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ต้องลองดูก่อนจึงจะรู้”
อินจ้งพยักหน้า และสั่งเสียงเข้มว่า “ปิดช่องว่างของกำแพงเมืองเดี๋ยวนี้ หากผู้ใดกล้าเข้าใกล้ประตูเมือง จะถูกยิงทันทีไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม”
ข่าวที่อินจ้งยังไม่ตายถูกกระจายถึงหูชาวบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าอินจ้งยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต่างโห่ร้องดีใจ และเมื่อได้ข่าวว่าราชาเผ่าเจียงวูถูกจับตัว ก็ตีฆ้องตีกลองด้วยความปีติยินดีมากยิ่งขึ้น เฉลิมฉลองไปตามถนน
เป็นเวลากลางคืนที่คึกคักเสียยิ่งกว่าเวลากลางวัน
นอกเมือง
อาซือหลานและจูอวี้เหยียนกำลังตรวจตราสถานการณ์ในการสู้รบอยู่ทางด้านนี้
ตอนเริ่มต้นยังคงได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่า ต่อมากลับหายเข้ากลีบเมฆ ในใจรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
อาซือหลานขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทหาร ไปสืบที่นอกเมืองเดี๋ยวนี้ ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
จูอวี้เหยียนจับผมที่ถูกลมพัดปลิวไสว พูดด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล “โหวเหนือรักตัวกลัวตาย อินปู้อวี่และกวนเซี่ยวยังเด็กเกินไป ไม่อาจรับผิดชอบหน้าที่อันใหญ่หลวงได้ สงครามครั้งนี้ไม่น่ามีอะไรยากเกินไป ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการปรับปรุงการทหารของต้าโจวก็ได้นะ”
อีกทั้งอินสิงอวิ๋นยังคงมีชีวิตอยู่ ยังสามารถลอบสังหารเป็นครั้งที่สองได้เช่นกัน ไม่เพียงแต่อินจ้งเท่านั้น คนในตระกูลอินไม่ควรมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว จูอวี้เหยียนก็อดแสยะยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ
อาซือหลานกลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนนาง ความเงียบงันอย่างกะทันหันของเมืองลั่วสยา ทำให้เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง
อาจเป็นไปได้ว่า... อินจ้งกำลังแกล้งตายเพื่อล่อศัตรู
อาซือหลานยิ่งคิด สีหน้าก็ยิ่งดูไม่ดีนัก ในระหว่างที่ครุ่นคิด จู่ๆ ก็เห็นทหารที่ส่งออกไปขี่ม้ากลับมา จึงถามขึ้นทันทีว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ทหารพลิกตัวลงจากหลังม้า พูดด้วยสีหน้าซีดขาว “แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินเสียงเฉลิมฉลองจากในเมือง เหมือนว่าราชาเผ่าและแม่ทัพมู่จัวจะถูกจับตัวไปแล้ว”
“อะไรนะ?”
จูอวี้เหยียนยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อของทหารนานนั้นไว้
“เจ้าพูดอีกรอบสิ”
ทหารเหงื่อไหลพรูในทันที และพูดด้วยความสั่นเทาว่า “ทูลราชครู ราชาเผ่าและมู่จัว รวมทั้งแม่ทัพอีกหลายนาย ดูเหมือนจะถูกจับตัวไปแล้ว”
สีหน้าของอาซือหลานมืดมนลงในทันที
“อินจ้งตัวดี ที่แท้ก็แค่แกล้งตาย พิษกู่ของราชครูทำได้เพียงเท่านี้เองสินะ”
อาซือหลานพลิกตัวขึ้นม้า มุ่งหน้าไปค่ายทหารเจียงวูโดยไม่หันหลังกลับมาอีกเลย
สีหน้าของจูอวี้เหยียนก็ดูแย่มากทีเดียว
นางร่ำเรียนวิชากู่มาตั้งแต่เล็ก และนางมั่นใจในพิษกู่ของตัวเองมาโดยตลอด เหตุใดเมื่อถึงอินสิงอวิ๋นจึงไม่อาจใช้การได้ หรือว่าอินสิงอวิ๋นได้จัดการการควบคุมพิษกู่ด้วยตัวเองมานานแล้ว?
เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย หากนางไม่ใช่ผู้ที่สั่งการด้วยตัวเอง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถกำจัดพิษกู่ได้อีก ต้องเป็นเพราะอินจ้งที่แกล้งตาย ทำให้อินสิงอวิ๋นเข้าใจผิด
เรื่องจริงก็เป็นจริงดังนี้
เมื่อได้ฟังลูกชายคนเล็กพูด อินจ้งก็เกิดความสงสัยขึ้น
และเมื่อพบอินสิงอวิ๋นอีกครั้ง ซึ่งไม่ได้ปลอมตัวมา ในใจก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น เขาเป็นผู้นำกองกำลังทหารมาโดยตลอด เขาได้ยินเรื่องแปลกประหลาดในยุทธภพมาบ้าง จึงอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องหยุมหยิม
อีกทั้งนับตั้งแต่อินสิงอวิ๋นกลับมา เขาเย็นชาต่อตัวเองและปู้อวี่เป็นอย่างมาก และเขาก็นอนหลับลึกมาก ซึ่งไม่ใช่ลักษณะนิสัยของเขาเลย และเมื่อเห็นว่านอกเมืองมีการขุดหลุมไว้หลายแห่ง จึงคิดว่าน่าจะเป็นแผนการของชาวเจียงวู ดังนั้นจึงได้ทำแผนซ้อนแผน เพื่อล่อศัตรูให้ติดกับ
ตอนนี้ขอเพียงแค่เจียงวูยอมจำนนต่อต้าโจว และเขียนจดหมายยุติสงคราม เขาจึงจะพากองทหารกลับไปรายงานพระบัญชา
อาซือหลานเอื้อมมือไปโอบเอวของนาง ยกยิ้มที่ริมฝีปากและพูดว่า “เจ้าอยากช่วยข้าจริงๆ หรืออยากไปเสวยสุขที่ต้าโจว?”
จูอวี้เหยียนเหลือบมองใบหน้าที่หล่อเหลาของอาซือหลาน พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานว่า “ข้าและอินจ้งเกลียดแค้นกันจนไม่อาจอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันได้ แน่นอนว่าข้าช่วยท่านด้วยความจริงใจ ข้าคิดสิ่งใดกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องมองไม่ออกหรอกหรือ?”
อาซือหลานลูบที่เอวเรียวเล็กของนางเบาๆ และพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ย่อมได้”
เขาครุ่นคิดชั่วครู่แล้วพูดว่า “ทหาร ส่งจดหมายในนามของข้าว่า ข้ายอมยุติการทำสงคราม และข้าจะส่งวัวแพะ อีกทั้งสาวงามอีกเล็กน้อย...”
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม อินจ้งได้รับจดหมายสันติของอาซือหลาน
เขาหัวเราะเหอะๆ และพูดว่า “ยังนับว่ารู้จักกาลเทศะบ้าง”
อูเอินกลับตกใจเป็นอย่างมาก
อาซือหลานยอมยุติสงครามด้วยงั้นหรือ?
หรือว่าเขายังมีความรักต่อพี่น้องของตัวเองอยู่?
อินปู้อวี่ไม่เชื่อใจอาซือหลาน ขมวดคิ้วและพูดว่า “หากว่าพวกเขาพูดกลับไปกลับมา พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
อินจ้งพูดว่า “ข้อตกลงระหว่างทั้งสองประเทศไม่ใช่แค่การแสดง พวกเขาคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ และเรื่องนี้ต้องได้รับการตัดสินใจจากฝ่าบาทด้วย ฝ่าบาทจะต้องออกพระราชกฤษฎีกาอย่างเป็นทางการเท่านั้น จึงจะถือเป็น ข้อตกลงที่แท้จริงในการยุติสงครามระหว่างทั้งสองประเทศ”
อินปู้อวี่พยักหน้ารับและพูดว่า “เช่นนั้นท่านพ่อรีบไปส่งข่าวเถอะ หากว่าน้องใหญ่ทราบเรื่องนี้ จะต้องดีใจมากแน่นอน”
อินจ้งหัวเราะร่าและพูดว่า “พ่อจะไปเขียนเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากนั้นสิบห้านาที จดหมายก็ถูกส่งออกไปโดยม้าเร็ว
แต่จดหมายลับของเมืองหลวง กลับยังไม่มาถึงเสียที
อินชิงเสวียนเหม่อมองดวงดาวและพระจันทร์อยู่ในเมืองหลวง และหวังว่าอินจ้งจะได้รับจดหมายโดยไว โดยที่ไม่รู้ว่าคนส่งจดหมายนั้นเดินทางลัดเข้าไปในป่า เพื่อต้องการส่งจดหมายให้รวดเร็วมากขึ้น และบังเอิญตกหลุมพรางล่าสัตว์ เขาจึงติดกับดักอยู่สามวันเต็ม...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...