สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 480

อินชิงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเขา จึงผิดหวังและเสียใจอย่างอดไม่ได้

หากว่าเย่จิ่งหลานเป็นคนทำจริงๆ ตัวเองควรทำอย่างไรดี?

เขาเป็นเพื่อนที่รู้ใจเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ หากเขาไม่อยู่แล้ว นางคงอยู่คนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายในโลกใบนี้เป็นแน่

หากว่าเขาทำเรื่องผิดบาปเช่นนี้จริงๆ ตัวเองจะปล่อยผ่านไปเช่นนี้หรือ?

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “หากว่าศาลยุติธรรมจับผู้นี้ได้ จะมีมาตรการการลงโทษอย่างไร?”

ฉางจี้จิ่วลูบเคราแล้วพูดว่า “วิธีการของคนผู้นี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก สติฟั่นเฟือน หากลงโทษคนผู้นี้ตามกฎหมาย ตามกฎหมายของต้าโจว จะมีการลงโทษโดยการใช้รถห้าคันดึงแยกร่างของนักโทษจนตาย”

อินชิงเสวียนได้ยินก็ใจสั่น

“หากว่าผู้กระทำความผิดเป็นลูกหลานในเชื้อพระวงศ์เล่า?”

ฉางจี้จิ่วหัวเราะเหอะๆ ประสานมือคำนับไปทางตะวันออกแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ไม่มีทางลดโทษเพียงเพราะเป็นญาติสนิทในเชื้อพระวงศ์แน่นอน ตามคำกล่าวว่า ความผิดของโอรสแห่งสวรรค์ย่อมมีโทษเทียบเท่าประชาชน เรื่องนี้อาจารย์อินวางใจได้เลย”

อินชิงเสวียนยิ่งฟังก็ยิ่งว้าวุ่นใจ จึงสอนวิชาฟิสิกส์อย่างลวกๆ จากนั้นก็พาหลี่ชีและฉินเทียนไปที่จวนฝูอี้อ๋อง

จากนั้นไม่นาน เย่จิ่งหลานในชุดลำลองสีดำก็มาที่หน้าประตู

เขาเอามือไพล่หลัง ยิ้มและพูดว่า “พวกเราเพิ่งแยกกันเมื่อวานนี้ วันนี้เสด็จพี่สะใภ้มาหาข้าอีกแล้ว หรือว่าคิดถึงข้ากันนะ?”

อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าไม่ได้มาเพื่อพูดเล่นกับท่านนะ ข้ามีเรื่องสำคัญอยากถามท่าน หาที่เงียบๆ คุยกันเถอะ”

เย่จิ่งหลานเหลือบมองนางด้วยความสงสัย

“หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง?”

อินชิงเสวียนเดินเข้ามาด้านใน

“ไม่ใช่ ให้พวกเขาออกไปก่อน ข้ามีเรื่องอยากถามท่านเพียงลำพัง”

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของนาง ไม่เหมือนคนกำลังพูดล้อเล่น เย่จิ่งหลานจึงโบกมือขึ้นมา

“พวกเจ้าออกไปก่อน”

เมื่อคนรับใช้ออกไปแล้ว เย่จิ่งหลานก็นั่งลงบนเก้าอี้หินในสวน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

สายตาของอินชิงเสวียนจ้องหน้าของเย่จิ่งหลานไม่ห่าง

“ในเมืองหลวงเกิดคดีขึ้นไม่น้อย ท่านเป็นคนทำใช่หรือไม่?”

เย่จิ่งหลานมองนางด้วยความประหลาดใจ ไม่นานก็หัวเราะออกมา

“อินชิงเสวียน ท่านเป็นไข้ไม่สบายหรือไม่ ให้ข้าตรวจให้เอาไหม?”

อินชิงเสวียนทุบลงบนโต๊ะแรงๆ หนึ่งที

“ข้าพูดจริงนะ ช่วงนี้ท่านไม่ได้ยินข่าวคนแก่หลายคนหายตัวไปเลยหรือ มีสองศพที่ถูกพบแล้ว ศพถูกแขวนอยู่บนต้นไม้นอกชานเมือง ถูกคนชำแหละช่องท้อง และนำเครื่องในหมูใส่เข้าไปในร่างกายของพวกเขา จากนั้นก็ทำการเย็บปิด”

ความหมายชัดเจนมากพอ นอกจากเย่จิ่งหลานแล้ว อินชิงเสวียนก็นึกไม่ถึงใครอีกเลย

เย่จิ่งหลานขมวดคิ้ว ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มค่อยๆ หุบลง

“เพราะเรื่องนี้ ท่านก็เลยสงสัยข้างั้นหรือ?”

อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากบาง

“ท่านจับพวกเขามาทำการทดลองใช่หรือไม่?”

เย่จิ่งหลานพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “อินชิงเสวียน ท่านใช้สมองคิดให้ดีก่อนได้หรือไม่ ข้าจับพวกเขามาทดลองแล้วจะมีประโยชน์อะไร ท่านก็รู้ดีว่า มิติการรักษาของข้าจะได้รับคะแนนสะสมก็ต่อเมื่อการผ่าตัดสำเร็จ หากผ่าตัดล้มเหลวข้ายังถูกหักคะแนนอีก การผ่าตัดเย่จั้นครั้งนั้นทำให้ข้าเสียคะแนนไปไม่น้อยเลย ท่านคิดว่าข้าจะไปทำเรื่องไร้สาพวกนี้งั้นหรือ?”

เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานพูดจามีหลักฐาน อินชิงเสวียนก็ขบฟันกรามแน่น

“เย่จิ่งหลาน ข้าเคยบอกแล้วว่า คนข้ามมิติไม่มีทางโกหกกันเอง ข้าขอถามท่านเป็นครั้งสุดท้าย ท่านเป็นคนทำใช่หรือไม่?”

สีหน้าเย่จิ่งหลานเคร่งขรึมลงเล็กน้อย เขาพ่นคำสองคำออกมาอย่างเย็นชา

อินชิงเสวียนประสานมือคำนับแล้วพูดว่า “ขอตัวลา”

เย่จิ่งหลานพยักหน้า และมองตามหลังอินชิงเสวียนเดินจากไป ทว่าสายตากลับหม่นมัวไม่แน่นอน ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาเรียกผู้ดูแลบ้านเข้ามาหนึ่งคน และกระซิบข้างหูเขาอยู่ไม่กี่คำ จากนั้นก็รีบเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว

อินชิงเสวียนก็กลับถึงวังหลวงแล้ว จิตใจผ่อนคลายขึ้นมาก

จากความรู้สึกของนาง นางเลือกที่จะเชื่อใจเย่จิ่งหลาน นางยอมเชื่อว่าเขาไม่มีทางโกหกนางได้

ในเมื่อศาลยุติธรรมเป็นผู้ดำเนินการเอง เชื่อว่าอีกไม่นานจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แน่

สำหรับขุนนางในยุคสมัยนี้ อินชิงเสวียนค่อนข้างเชื่อมั่นทีเดียว เป็นเพราะเย่จิ่งอวี้มีความสามารถมากพอในการจัดการกับพวกเขา

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้ก็คือสถานการณ์ในเจียงวู ไม่รู้ว่าหลายวันนี้ ทางด้านนั้นเกิดภัยร้ายอะไรขึ้นบ้าง?

ณ เมืองลั่วสยา

อินจ้งก็กำลังเป็นกังวลกับเรื่องเหล่านี้เช่นกัน การเดินทางไปมาต้องใช้เวลามากถึงสิบกว่าวัน แม้ว่าทางด้านของเจียงวูจะยอมยุติสงคราม แต่ทว่าเวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในช่วงเวลานี้

และสิ่งที่ทำให้อินจ้งเป็นห่วงมากที่สุดก็คืออาการป่วยของลูกชายคนโต เขาสลบไปหลายวันแล้ว อินสิงอวิ๋นยังคงสลบไสลไม่ได้สติ แม้ว่าจะกินอาหารในบางครั้ง แต่สายตายังคงเหม่อลอยอยู่มาก

ตอนนี้หวังเพียงได้รับข่าวจากเมืองหลวงในเร็ววัน เพื่อรีบนำอินสิงอวิ๋นกลับไปรักษาโดยหมอในเมืองหลวง

หลายวันนี้ นอกจากเพิ่มมาตรการป้องกันเมืองแล้ว เวลาว่างก็ต้องมานั่งดื่มชา พูดคุยกับอูเอิน มู่จัวและคนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักโทษเชลย แต่อินจ้งก็ปฏิบัติด้วยความเคารพมาโดยตลอด

อินจ้งไม่ได้พูดคุยเรื่องศึกสงครามกับพวกเขา หลายวันนี้พูดคุยเพียงเรื่องประเพณีท้องถิ่น และวัฒนธรรมของต้าโจว

เมื่อละทิ้งความสัมพันธ์ในการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันแล้ว พวกเขาหลายคนเป็นเหมือนมิตรแท้ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี เมื่อมีเวลาว่างก็พูดคุยเรื่องในใจ นั่งดื่มชาร่วมกัน สำหรับอูเอินแล้ว นี่นับเป็นความสบายใจที่หาได้ยากยิ่ง

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปอีกห้าหกวัน

อากาศที่ชายแดนหนาวเร็วกว่า ต้นเอล์มเก่าแก่ในสวนกลายเป็นเป็นเหลืองไปครึ่งหนึ่งแล้ว

จิตใจของอินจ้งกระสับกระส่ายมากทีเดียว ในระหว่างที่เขากำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น ในที่สุดพระราชโองการก็มาถึงเสียที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์