วันถัดมา ณ เมืองลั่วสยา
อินจ้งนำอูเอินและคนอื่นๆ ตามทัพมาถึงพื้นที่ลาดชันสิบลี้ทางตะวันออกของเมือง
ด้านตรงข้าม มีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำเงินเข้มนั่งบนหลังม้า ด้านหลังของเขามีกลุ่มทหารเจียงวูตามมาด้วย
เมื่อเห็นรูปร่างของผู้ชาย อินจ้งกำเชือกในมือแน่น
เขารู้เรื่องอาซือหลานปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋นจากปากของกวนเซี่ยว จึงแอบกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
แต่กลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
เขายิ้มเล็กน้อย ประสานมือคำนับและพูดว่า “ท่านคือท่านอ๋องถูหย่าลาจี๋เล่อใช่หรือไม่?”
อาซือหลานยกมือขึ้นคำนับและพูดว่า “แม่ทัพอิน สบายดีหรือไม่”
กวนเซี่ยวขี่ม้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อพวกเจ้าแพ้สงคราม ก็ควรจะคุกเข่าลงยอมรับโทษ กล้าดีอย่างไรที่มัวนั่งสบายใจบนหลังม้า?”
อาซือหลานยิ้มที่มุมปากและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะยอมแพ้ แต่ข้าก็ยอมแพ้ต่อฮ่องเต้ของราชวงศ์โจว ในเมื่อแม่ทัพอินไม่ใช่คนสกุลเย่ และไม่ลูกหลานของเชื้อพระวงศ์ จะให้ข้าคุกเข่าลงด้วยเหตุอันใด?”
“เจ้า...”
กวนเซี่ยวเกลียดเขาเข้ากระดูก จึงจับด้ามดาบไว้แน่น
อินปู้อวี่กดไหล่ของเขาเอาไว้ เพื่อบอกเขาว่าอย่าเพิ่งวู่วาม
อินจ้งหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ในเมื่อท่านอ๋องยอมแพ้ต่อต้าโจวอย่างเต็มใจ ก็ลงนามหนังสือยุติสงครามเถิด นับตั้งแต่วันนี้ไป ทั้งสองฝ่ายจะใช้ชีวิตของตัวเอง ห้ามรุกรานกันแม้แต่น้อย โอรสแห่งสวรรค์ของต้าโจรมีพระเมตตาให้เจียงวูและต้าโจวทำการค้าขายร่วมกันได้ ประชาชนสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าที่ต้องการได้”
เสียงของอินจ้งราวกับระฆังใหญ่ แสดงกิริยาท่าทางของแม่ทัพนักรบอย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าทหารที่อยู่ด้านหลังของอาซือหลานก็ดีใจในทันที หากเจียงวูสามารถทำการค้ากับต้าโจวจริงๆ การใช้ชีวิตในภายภาคหน้าจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
อาซือหลานเลิกสายตาเล็กน้อย มุมปากบางของเขาแสยะยิ้มด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ฮ่องเต้คิดจะใช้วิธีนี้หว่านล้อมเจียงวู เพ้อฝันมากเกินไปแล้ว
ทว่ายังคงจำเป็นต้องลงนามหนังสือยุติสงคราม ไม่เช่นนั้นจะดำเนินการอย่างอื่นต่อไปไม่ได้ หลังจากที่เขารับช่วงต่อเจียงวู เขาจะจัดการเรื่องนี้ให้ราบคาบหมดจด ไม่ว่าจะสันติหรือสู้รบ ล้วนทำตามใจปรารถนาของพวกเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อาซือหลานประสานมือคำนับและพูดเยาะว่า “ฮ่องเต้ของราชวงศ์โจวช่างมีพระปรีชามากทีเดียว เมื่อเป็นนี้แล้ว แม่ทัพอินได้โปรดปล่อยราชาเผ่าของพวกเราด้วย และลงนามเพื่อเป็นหลักฐานทั้งสองฝ่าย”
อินจ้งโบกมือ เพื่อส่งสัญญาณให้อูเอินและคนอื่นๆ กลับไปได้แล้ว
อูเอินรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ที่อินจ้งดูแลพวกเขาเขาอย่างดีตลอดหลายวันที่ผ่านมา
จึงแสดงความเคารพต่ออินจ้งและพูดว่า “ขอบพระคุณแม่ทัพอินที่ดูแลพวกข้าตลอดหลายวันนี้ อูเอินสั่งประชาชนเป็นอย่างดี จะไม่รุกรานกัน และปฏิบัติต่อประชาชนด้วยดี”
อินจ้งลงจะม้า และพยุงอูเอินลุกขึ้น
“ราชาเผ่าไม่ต้องมากพิธี ในเมื่อตอนนี้ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงแล้ว พวกเราจะประทับตราของแต่ละฝ่ายและยุติเรื่องนี้”
อูเอินพูดว่า “ดีทีเดียว”
มีทหารโค้งตัวและย่อลง เพื่อใช้หลังเป็นโต๊ะ
อินจ้งหยิบจดหมายสองฉบับที่เขียนไว้เรียบร้อยแล้ว ต่างฝ่ายต่างประทับตราและลงนามชื่อสกุลของตัวเอง จากนั้นก็ถือไว้คนหนึ่งฉบับ และกลับที่ค่ายทหาร
เมื่อเห็นอินจ้ง อูเอินก็ทำท่าทางอึกๆ อักๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
หลายวันนี้ อินจ้งถามเรื่องราวของอินสิงอวิ๋นตอนที่ในเจียงวูหลายครั้ง แต่อูเอินกลับตอบว่าไม่รู้ ตอนนี้เขาอยากให้อินสิงอวิ๋นกลับเจียงวูพร้อมตัวเองด้วย แต่เขาไม่กล้าพูดออกมา
แม้เขากล้าที่จะเปิดปากพูด แต่อินจ้งคงไม่มีทางรับปาก
เมื่อนึกถึงเป่าเล่อเอ่อร์ที่ใสซื่อไร้เดียงสา อูเอินก็ส่ายหัวอย่างทำอะรไม่ได้
อาซือหลานประสานมือคำนับและพูดว่า “ตราประทับนี้คือความจริงใจของเจียงวูที่ยอมแพ้ต่อราชวงศ์โจว ข้าได้จัดเตรียมวัวแพะ และสาวงามอีกสิบคน เพื่อมอบให้แก่โอรสแห่งสวรรค์ของราชวงศ์โจว แม่ทัพอินได้โปรดนำน้ำใจของข้าไปส่งถึงเมืองหลวงอย่างดีด้วย”
เมื่อกลับมาถึงจวนก็เรียกสวีเหลียงและจังเถี่ยมาพบ เพื่อป้องกันไม่ให้เจียงวูกลับคำ ทั้งสองต้องอยู่ที่เมืองลั่วสยาก่อนชั่วคราว วันที่สามารถทำการซื้อขายคือวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของทุกเดือน ประชาชนจะไปทำการแลกเปลี่ยนสินค้ายังพื้นที่ลาดสิบลี้จากนอกเมืองได้
มีเวลาสามชั่วยามทุกครั้งที่ออกจากเมือง จะมีการแจกป้ายทะเบียนให้ประชาชนที่ไปแลกเปลี่ยนสินค้า เมื่อคืนป้ายจะได้กลับเข้าเมือง และมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกแอบเข้ามาในเมือง
จังเถี่ยและสวีเหลียงรู้สึกว่าวิธีการนี้ดีมากทีเดียว
“แผนการนี้ดีมาก หากเป็นเช่นนี้ก็จะป้องกันสายลับเข้าเมืองได้”
“แม่ทัพอินมีปรีชาญาณมาก”
อินจ้งโบกมือ พูดด้วยสีหน้าใจดี “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าก็แค่มีประสบการณ์มากกว่าพวกเจ้า อีกไม่นาน พวกเจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้มากความสามารถ”
เขาชะงักไปและพูดว่า “เมื่อข้าและโหวเหนือไปแล้ว ข้าขอฝากเมืองลั่วสยาไว้กับพวกเจ้าด้วย”
ทั้งสองโน้มตัวและพูดว่า “แม่ทัพอินวางใจได้ พวกข้าจะปกป้องเมืองลั่วสยาให้ดี มีเมืองก็มีคน เมืองถูกทำลายผู้คนก็วอดวาย”
อินจ้งพยักหน้าและพูดว่า “ดี พวกเจ้าทั้งสองมีใจมุ่งมั่นเช่นนี้ ข้าก็สบายใจ กลับเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทเพื่อประทานยศถาบรรดาศักดิ์ที่เป็นทางการแก่พวกเจ้า”
“ขอบพระคุณแม่ทัพอิน”
หลังจากนั้นสามวัน อินจ้งและโหวเหนือเดินทางกลับเมืองหลวง พร้อมหนังสือลงนามยุติสงคราม
ในเมืองหลวงยังคงปกติดีทุกอย่าง
โรงเรียนสอนการต่อสู้ของกวนฮั่นหลินเริ่มทำการสอนแล้ว นักเรียนชุดแรกมีมากถึงร้อยคน ปัจจุบันมีการเปิดวิชาสามวิชา ได้แก่ วิชาวรรณกรรม วิชาการต่อสู้ และวิชาตำราพิชัยสงคราม
อินชิงเสวียนหาเวลาไปดูก็เห็นว่า จอมพลเฒ่ามีสีหน้าสดชื่นสบายใจ ไม่ได้หดหู่จิตใจเหมือนที่ผ่านมา เขาจะไปตรวจตราการฝึกต่อสู้ของนักเรียนด้วยตัวเองทุกวัน ซึ่งกระปรี้กระเปร่ามากทีเดียว
สำนักศึกษาหลวงก็ได้รวบรวมวิธีการแก้ปัญหาโจทย์ ส่งคนมาทำการคัดลอก พร้อมทั้งแจกจ่ายสื่อการสอนไปยังทุกเมืองและมณฑล
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เสบียงอาหารเติบโตพอที่จะทำการเก็บเกี่ยวและนำเข้าสู่คลังประเทศ เพียงแต่อากาศที่หนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยากต่อการเพาะปลูกในฤดูกาลใหม่ หากเทียบกับจำนวนประชากรในต้าโจวแล้ว เสบียงอาหารเหล่านี้ยังถือว่าน้อยอยู่มาก
จำได้ว่าทางภาคเหนือสามารถปลูกผักในเรือนกระจกได้ ไม่รู้ว่าที่นี่สามารถทำได้หรือไม่?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...