สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 503

กวนเซี่ยวก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ข้าแค่รู้สึกว่านางดูคุ้นตา จนกระทั่งเดินทางออกจากเจียงวู ถึงได้สงสัยว่านางอาจจะเป็นฟางรั่ว”

อินชิงเสวียนมองไปยังกวนเซี่ยวด้วยสายตานิ่งขึง

“พี่ชายกวน เจ้าชอบฟางรั่วอย่างนั้นหรือ”

กวนเซี่ยวตัวสั่นเล็กน้อย

“กุ้ยเฟยโปรดอย่าเดาส่งเดช”

เสียงของอินชิงเสวียนเย็นชาเล็กน้อย

“ถ้าไม่ใช่ เจ้าจะปิดบังเรื่องนี้ไม่ยอมรายงานได้อย่างไร เจ้าน่าจะรู้ว่าฟางรั่วเป็นสาวใช้คนสนิทของอา‍ซือ‍หลาน การที่นางเดินทางมาในขบวนด้วย ไม่น่าสงสัยเลยกระนั้นหรือ”

ศีรษะของกวนเซี่ยวหดลงเล็กน้อย

“ตอนนั้นพวกนางสวมผ้าปิดหน้ากันหมด ข้าไม่สามารถมองรูปร่างหน้าตาของพวกนางได้เลย”

“นี่เป็นเพียงข้อแก้ตัว ตลอดการเดินทางสิบกว่าวัน หากเจ้าอยากตรวจสอบก็มีโอกาสมากมาย ขอแค่ไม่เข้าเมืองหลวง ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป”

ยิ่งอินชิงเสวียนพูดมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น หากกวนเซี่ยวรายงานเรื่องนี้ อินจ้งจะต้องมีแผนรับมืออย่างแน่นอน หากสาวใช้เหล่านี้ไม่ได้เข้ามาในเมืองหลวง เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็คงไม่ถูกเสกกู่ใส่

กวนเซี่ยวกัดฟัน คุกเข่าลงกับพื้น

“เป็นข้าที่ประมาท หวังว่ากุ้ยเฟยจะเมตตา กวนเซี่ยวเต็มใจที่จะรับผิดชอบในเรื่องนี้ ยามนี้มีความปรารถนาเพียงข้อเดียวเท่านั้น หวังว่ากุ้ยเฟยจะช่วยให้สมหวัง”

เมื่อดูกวนเซี่ยว อินชิงเสวียนก็อดรำคาญใจไม่ได้ที่เขาทำตัวไม่ได้ดั่งใจ

ตอนที่นางพบกวนเซี่ยวครั้งแรก เขาประพฤติตัวสุขุมเยือกเย็น จัดการกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย นางยังคิดว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถที่สง่างาม แต่หลังจากที่ได้รู้จักเขามากขึ้น ถึงได้พบว่าชายคนนี้ไม่ได้มีความคิดลึกซึ้งอย่างที่นางคิด จริงๆ แล้วแทบไม่ต่างจากต่งจื่ออวี๋เลย

น่าเสียดายที่เขาไม่เก่งเท่าต่งจื่ออวี๋ อย่างน้อยต่งจื่ออวี๋ก็แข็งแกร่งในด้านวรยุทธ์มาก เมื่อเทียบกันแล้ว กวนเซี่ยวก็ยังตามหลังเขาอยู่มาก

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วมองกวนเซี่ยว และถามด้วยเสียงแผ่วต่ำ “เจ้าอยากพบหน้าฟางรั่ว?”

กวนเซี่ยวพยักหน้า

“กุ้ยเฟยโปรดเห็นชอบด้วย”

ทันใดนั้นเสียงของอินชิงเสวียนก็เย็นชา เจือความดุดันของผู้ที่อยู่เหนือกว่า

“กวนเซี่ยว ในเมื่อเจ้ารู้ว่านางเป็นคนของอาซือหลาน ยังต้องการพบนางอีก เจ้าไม่กลัวที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดงั้นหรือ หรือเจ้าต้องการให้ชื่อเสียงของผู้เฒ่ากกวนต้องถูกทำลายในมือของเจ้า?”

กวนเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะรวบนิ้วเข้าหากัน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กระซิบเสียงค่อย “ข้าแค่อยากจะรู้ว่านางสบายดีหรือไม่ จะไม่คุยกับนางให้มากความ ถ้าพระสนมไม่ไว้ใจข้า ก็สามารถจับตาดูข้าอยู่ข้างๆ ได้”

อินชิงเสวียนหัวเราะอย่างฉุนๆ

“ถ้าเจ้าไม่ใช่สายเลือดที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของอัคราจารย์ แค่คำพูดนี้คำเดียวก็เจ้าก็สามารถตายได้หลายครั้งแล้ว เจ้าไม่เพียงแต่เจ้ารนหาที่ตายของตัวเองเท่านั้น แต่ยังพาข้าไปสู่หลุมพราง เจ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าฝ่าบาทรู้เข้า ข้ากับเจ้าจะมีจุดจบเช่นไร”

นางสะบัดแขนเสื้อกว้างๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องนี้ให้จบลงแต่เพียงเท่านี้เถิด ข้าจะทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เจ้าออกไปเถอะ”

หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็เดินเข้าสำนักศึกษาหลวงโดยไม่หันกลับมามอง

จริงอยู่ที่สิ่งที่นางพูดนั้นรุนแรงไปบ้าง และฟังแล้วขัดหูมาก แต่นางก็ต้องการให้กวนเซี่ยวตัดใจ ไม่ว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้จะชอบสตรีเหล่านี้หรือไม่ แต่ในเมื่อพวกนางเข้ามาในวังแล้ว พวกนางทั้งหมดก็เป็นสตรีของฝ่าบาทในนามแล้ว ถ้ากวนเซี่ยวยังมีความคิดเช่นนี้อยู่ คงก่อเรื่องขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

ยามนี้เย่‍จิ่ง‍อวี้ถูกเสกกู่พิษ พฤติกรรมของเขาแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก จากสองครั้งที่เขาปกป้องสตรีจากเจียงวู สามารถเห็นได้ว่าอุปนิสัยของเขาเปลี่ยนไป หากกวนเซี่ยวพบกับนาง จะเกิดอะไรขึ้นนั้นก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก

อินชิงเสวียนให้ความเคารพผู้เฒ่ากวนมาโดยตลอด ฉะนั้นนางจึงไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับกวนเซี่ยวหน่อมเนื้อที่เหลืออยู่เพียงผู้เดียวของตระกูลกวน หากคำพูดของนางทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ อินชิงเสวียนก็ไม่กลัวที่จะทำให้เขาขุ่นเคือง

หลังจากเข้ามาในสำนักศึกษาหลวง ผู้อาวุโสหลายคนก็กำลังอ่านตำรารออยู่

เป็นเรื่องยากมากที่จะจินตนาการว่าผู้ใหญ่ที่มีหนวดเครายาวเหล่านี้ จะมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้อย่างมากเช่นนี้

อินชิงเสวียนไม่พูดพร่ำทำเพลง นางเดินไปที่กระดานดำเพื่อบรรยายบทเรียนของวันนี้

พริบตาเดียวก็ถึงยามเที่ยง อินชิงเสวียนทิ้งโจทย์ท้ายคาบเรียบไว้ให้เหล่าผู้อาวุโส แล้วก็พาฉินเทียนและหลี่ชีเดินทางไปยังจวนแม่ทัพ

หลักๆ นั้นเป็นเพราะคิดถึงเสี่ยว‍หนาน‍เฟิงแล้ว

“เจ้าว่าอะไรนะ”

อินชิงเสวียนพูดซ้ำสิ่งที่นางเพิ่งพูดไป

“จูอวี้เหยียนเชี่ยวชาญด้านพิษกู่ ตอนนี้ฝ่าบาทตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกู่เสน่หา แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่พฤติกรรมของเขาแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ข้าไม่กล้าให้จ้าวเอ๋อร์อยู่ในวังจริงๆ”

ทันใดนั้นอินจ้งก็นึกถึงสิ่งที่จอมพลเฒ่ากวนพูด อดไม่ได้ที่จะถามว่า “หญิงแซ่จูนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร”

อินชิงเสวียนมองหน้าอินจ้งอย่างพิศวง ทำไมเขาถึงสนใจรูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้กัน

อินจ้งไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “พ่อหมายความว่า เจ้าแน่ใจได้หรือไม่ว่าสตรีคนนั้นคือจูอวี้เหยียน”

“แน่นอนเจ้าค่ะ ลูกเคยซื้อสิ่งที่สามารถบันทึกภาพและเสียงจากคนขายคนหนึ่งมาได้ ท่านพ่อเห็นแล้วก็จะรู้เอง”

อินชิงเสวียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วเลือกวิดีโอในคืนนั้นออกมา

เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของบุคคลหนึ่งสะท้อนอยู่ในกล่องเล็กๆ อินจ้งก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ผงะถอยหลัง

อินชิงเสวียนพูดว่า “ท่านพ่อไม่ต้องตกใจไป นี่คือฉากที่ข้าบันทึกไว้ในตอนนั้น”

อินจ้งตั้งสติ รับโทรศัพท์มาอย่างระมัดระวัง แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ ที่มีสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้อยู่ในโลกด้วย

เมื่อเห็นภาพของจูอวี้เหยียนปรากฏ หัวใจของอินจ้งก็เต้นแรงทันที

เมื่อได้ยินเสียงข้างใน เหงื่อก็ไหลออกมาจากหน้าผาก

“สาวใช้เจียงวูเหล่านี้ เสกกู่ใส่ฝ่าบาทจริงๆ หรือ”

นี่คือฮ่องเต้แห่งแคว้น หากเขาเป็นอะไรไป เขาก็หนีไม่พ้นความผิด

อินชิงเสวียนถอนหายใจและพูดว่า “โชคดีที่พิษกู่ของพี่ใหญ่และฝ่าบาทนั้นไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ถ้าเป็นกู่กินหัวใจเหมือนจิ้งอ๋อง เกรงว่าคงจบไปนานแล้ว”

หลังจากพูดจบนางก็พูดปลอบว่า “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ลูกได้แจ้งให้จิ้งอ๋องทราบแล้ว ให้เขาอยู่ในเมืองหลวงต่ออีกหลายๆ วัน แล้วลูกกับท่านอ๋องจะช่วยกันคิดหาวิธี เพื่อหาทางรักษาพี่ใหญ่และฝ่าบาทให้ได้”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์