เมื่อได้ยินว่าซูฉ่ายเวยเป็นพระสนม จูอวี้เหยียนก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ามามอง
พอเห็นว่าซูฉ่ายเวยสวมกระโปรงรัดอกผ้าแพรไหมสีชมพู ปักลวดลายดอกไม้สีแดงสด บนศีรษะปักปิ่นหยกสลักหลากสี ดูสูงส่งมีเกียรติ ก็รู้ว่านางจะต้องเป็นซูฉ่ายเวย
ถึงอย่างไรในวังหลังแห่งนี้ก็มีพระสนมเพียงสองคน แค่สอบถามดูคร่าวๆ ก็รู้เรื่องแล้ว นางรู้ด้วยว่าซูฉ่ายเวยไม่ได้รับความโปรดปราน อดไม่ได้ที่จะมองอย่างดูถูก ทว่ายังคงโค้งคำนับย่อยๆ
“สาวใช้ของข้าไม่เข้าใจกฎ หวังว่าพระสนมจะยกโทษให้ด้วย”
ถ้าเป็นคนอื่น เรื่องนี้คงจบไปง่ายๆ เช่นนี้
ซูฉ่ายเวยในตอนนี้ไม่ได้วางท่าใหญ่โตดังเช่นตอนที่เพิ่งเข้าวังแล้ว บัดนี้นางคิดแค่เรื่องหาเงิน ไม่อยากยุ่งยากใจกับผู้อื่น
ทว่าอีกฝ่ายเป็นคนเจียงวู ซูฉ่ายเวยก็อดไม่ได้ที่จะระบายความโกรธแทนอินชิงเสวียน
ดวงตาของนางเย็นชาเล็กน้อย
“ในเมื่อไม่เข้าใจกฎ ข้าก็จะให้เซียงหลานสั่งสอนพวกเจ้าให้ดีเอง เซียงหลาน ตบปาก”
เซียงหลานเดินปรี่เข้าไปตบหน้าสาวใช้สองครั้งทันที
ดวงตาของสาวใช้เปลี่ยนเป็นเย็นชา กำลังจะลงมือ แต่จูอวี้เหยียนลอบส่ายศีรษะให้ สาวใช้ผู้นั้นจึงต้องอดทน
เซียงหลานตบหน้านางอีกหลายครั้ง แล้วพูดอย่างเย็นชา “นับจากนี้ไปจงเบิ่งตาให้สุนัขของเจ้าไว้ด้วย อย่าคิดว่าฝ่าบาทไปหาแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วจะใช้สายตาสุนัขมาเหยียดหยามผู้อื่นได้”
จูอวี้เหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวคนนี้สั่งสอนถูกแล้ว ต่อไปพวกข้าจะระวังกิริยาวาจา”
ซูฉ่ายเวยเหลือบมองนางแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็จงคุกเข่าที่นี่เป็นเวลาสองชั่วยาม คิดได้เมื่อใด ค่อยกลับไปเมื่อนั้น”
ทันใดนั้นสาวใช้ของจูอวี้เหยียนก็โกรธจัด
“เจ้าอย่ารังแกคนอื่นมากนัก”
“แล้วจะทำไม”
ซูฉ่ายเวยมองนางอย่างดูถูก
ขณะที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเย็นๆ พูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”
จูอวี้เหยียนยิ้มอย่างลำพองใจ ตอนนี้ฮ่องเต้น้อยถูกพิษกู่ของนางควบคุมไว้แล้วสามในสิบส่วน ช่างมาได้จังหวะพอดีเลย
นางปล่อยซูฉ่ายเวย แล้วพูดด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจว่า “หม่อมฉันกำลังยืนชมปลาไนหลากสีอยู่ที่ริมสระน้ำ แต่พระสนมท่านนี้และสาวใช้ของนางก็มาสั่งสอนหม่อมฉันโดยไม่ถามเหตุผล แถมยังต้องการลงโทษโบยหม่อมฉันอีก หวังว่าฝ่าบาทจะให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ดวงตาของจูอวี้เหยียนแดงก่ำ ใบหน้างามเปื้อนน้ำตาดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน
เดิมทีเย่จิ่งอวี้ก็ถูกควบคุมด้วยหนอนกู่อยู่แล้ว อีกทั้งเขายังไม่รู้สึกอะไรกับซูฉ่ายเวย จึงพูดอย่างเย็นชา “บังอาจ วังหลวงเป็นสถานที่ที่เจ้าสามารถทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการได้งั้นหรือ”
ซูฉ่ายเวยตกใจ รีบลนลานคุกเข่าลงกับพื้น
“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย แต่สาวใช้คนนั้นไม่เคารพหม่อมฉันก่อน หม่อมฉันแค่อยากจะสอนมารยาทของต้าโจวให้นาง ยังไม่ได้ลงโทษนางเป็นการส่วนตัวเพคะ”
จูอวี้เหยียนพูดสะอื้นว่า “ตั้งแต่เราเข้าวังมา ใครๆ ก็รังแกพวกเราได้ พี่น้องเราล้วนมาที่นี่เพื่อรับใช้ฝ่าบาท ที่พวกนางทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา”
เย่จิ่งอวี้มองไปที่ซูฉ่ายเวยด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักอยู่อย่างเจียมตัวจริงๆ เมื่อก่อนเจ้าพุ่งเป้าไปที่เสวียนเอ๋อร์ วันนี้ก็พุ่งเป้ามาที่เหยียนหง ที่ข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นสนมขึ้นเฟย ก็เพราะหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยเสวียนเอ๋อร์จัดการวังหลังได้ แต่เจ้ากลลับเป็นคนใจแคบ ใช้อำนาจในทางที่ผิด เด็กๆ มาลากตัวซูฉ่ายเวยออกไป โบยยี่สิบไม้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...