สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 518

“ช้าก่อน”

เสียงที่ใสกังวานดังมาจากด้านหลังทุกคน

สตรีคนหนึ่งสวมกระโปรงรัดอกสีฟ้า ค่อยๆ เยื้องกรายออกมาจากด้านหลังขันที

สตรีผู้นี้มีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้างามแฉล้ม เรือนผมดำขลับปักไว้เพียงปิ่นหยกดอกไม้สีน้ำเงินสองดอก กิริยาเรียบง่ายสง่างาม ทุกอิริยาบถสะท้อนถึงความเย่อหยิ่งและสูงศักดิ์ของผู้ที่เหนือกว่า

“เสวียน‍เอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หันกลับมาด้วยสายตาประหลาดใจ แต่นอกเหนือจากนั้นสายตาก็ไม่ปรากฏความรู้สึกอื่นใดอีก

เมื่อมองเรียวตาหงส์คู่นั้นที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่วันนี้กลับดูเฉยเมยอย่างน่ากลัว อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ

วันหนึ่งเย่‍จิ่ง‍อวี้จะปฏิบัติต่อนางแบบเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อซูฉ่ายเวยหรือไม่

เมื่อนึกถึงความอบอุ่นในอดีต อินชิงเสวียนถอนหายใจอย่างจนใจ โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เดิมทีหม่อมฉันอยากไปเยี่ยมหลิงเฟย แต่ไม่นึกว่าจะได้พบนางที่นี่ เพราะนับตั้งแต่หลิงเฟยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นสนมขั้นเฟย นางก็ขยัน ประหยัด มีคุณธรรมและสร้างความปรองดองในวังหลังเสมอมา ไม่เคยละเลยหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่หน้าหม่อมฉัน โปรดให้อภัยหลิงเฟยด้วย”

เรียวตาหงส์ของเย่‍จิ่ง‍อวี้หรี่ลงราวกับกำลังตรึกตรองอยู่

ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นตึงเครียด นัยน์ตาฉายแววสับสนอยู่บ้าง

แม้ว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้จะไม่ชอบซูฉ่ายเวย แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทำกับนางเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีความโกรธเกิดขึ้น

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก อารมณ์ของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ค่อยๆ สงบลง

“ก็ได้ ซูฉ่ายเวย ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปสักครั้งเพื่อเห็นแก่เสวียน‍เอ๋อร์ หากเจ้ากล้าทำให้ผู้มาใหม่เหล่านี้ลำบากใจอีก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่”

ซูฉ่ายเวยรีบโขกศีรษะทันที

“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ขอบพระทัยพระสนม”

อินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้า ช่วยพยุงนางลุกขึ้น

“กลับไปเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้าอีก”

ซูฉ่ายเวยเหลือบมองจูอวี้เหยียนอย่างโกรธแค้น แล้วพยักหน้า

“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”

หลังจากที่ซูฉ่ายเวยจากไป อินชิงเสวียนก็หันไปหาจูอวี้เหยียน

“นายหญิงเหยียนก็ควรเรียนรู้กฎในวังหลวงไม่ใช่รึ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ป่าเถื่อนอย่างเจียงวู เราให้ความสำคัญกับประโยชน์และกฎระเบียบ เมื่อพบสนมต้องคุกเข่าคำนับ พวกเจ้าถือตนว่าเพิ่งเข้าวังหลัง ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นกฎระเบียบของวังหลังอยู่ในสายตา สมควรถูกลงโทษ เด็กๆ ตบปากคนละยี่สิบครั้ง เพื่อให้เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง หากผู้ใดกล้าทำผิดเช่นนี้อีก ต่อไปต้องถูกลงโทษด้วยการโบยห้าสิบไม้”

เมื่อได้ยินว่าอินชิงเสวียนต้องการตบปากพวกนางอีก จูอวี้เหยียนก็จีบปากจีบคอตะโกน “ฝ่าบาท...”

“ฝ่าบาท!”

อินชิงเสวียนคำรามเสียงเย็น ขัดจังหวะจูอวี้เหยียน

“ในเมื่อฝ่าบาทได้มอบวังหลังให้กับหม่อมฉันแล้ว ก็ควรให้หม่อมฉันตัดสินใจ หากฝ่าบาทเอาแต่ปกป้องพวกนางอยู่เช่นนี้ อย่างนั้นตำแหน่งกุ้ยเฟยนี้ หม่อมฉันก็ไม่เป็นแล้ว”

ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดมน ลูกตาขาวตัดกับตาดำชัดเจนของนางมองที่เย่‍จิ่ง‍อวี้อย่างสงบ ท่าทางไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย

เมื่อสบตากัน เย่‍จิ่ง‍อวี้ก็รู้สึกมึนงง

นี่คือเสวียน‍เอ๋อร์ของเขา อินชิงเสวียนที่ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อต้าโจว

เป็นขันทีน้อยที่ออกมาจากวังเย็น เป็นคนที่ถูกเขาล้มใส่จนหงายหลัง

ฉากที่ทั้งสองพบกันปรากฏแวบวับต่อหน้าต่อตาราวกับโคมม้าวิ่ง ดวงตาของเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น

เขาจับมือเล็กๆ ที่เริ่มเย็นเฉียบของอินชิงเสวียน แล้วพูดเสียงอ่อนโยน “อย่าพูดด้วยอารมณ์ เจ้าคือว่าที่ฮองเฮาของข้า วังหลังล้วนเป็นของเจ้า หากเจ้าต้องการลงโทษพวกนาง ข้าก็แล้วแต่เจ้า”

เมื่อมองดูรอยยิ้มที่นุ่มนวลราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ อินชิงเสวียนก็อดเคลิบเคลิ้มไม่ได้

ฮ่องเต้น้อยที่อ่อนโยนเอาใจใส่ แต่แฝงไว้ด้วยความเผด็จการเล็กน้อยผู้นั้น คล้ายจะกลับมาแล้ว

ใบหน้าของจูอวี้เหยียนเปลี่ยนเป็นสีเขียวสลับกับซีดเซียว นับตั้งแต่นางมาถึงวังหลวงของต้าโจว ใบหน้าก็มีรอยตบมากมาย ไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่งนางจะคืนสนองให้อินชิงเสวียนร้อยเท่าพันครั้ง

นางขบกรามเป็นสันนูน ระงับความเดือดดาลเกรี้ยวกราดในใจ โค้งคำนับแล้วพูดว่า “พระสนมสั่งสอนถูกแล้ว หม่อมฉันขอทูลลา”

อินชิงเสวียนโบกมือ แล้วหันไปหาเย่‍จิ่ง‍อวี้

“หม่อมฉันจะไปพบหลิงเฟยหน่อย ฝ่าบาทต้องการไปกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ”

เย่‍จิ่ง‍อวี้หันกลับมามองแล้วพูดว่า “ไม่ล่ะ ข้ายังต้องไปตรวจฎีกาอีก จะกลับห้องหนังสือแล้ว”

“เพคะ หม่อมฉันน้อมส่งฝ่าบาท”

อินชิงเสวียนยอบกายคำนับ มองส่งเย่‍จิ่ง‍อวี้จากไปจนสุดสายตา จากนั้นจึงพาเสี่ยวอานจื่อไปที่คุกหลวง

ในเวลานี้ จูอวี้เหยียนก็กลับมาที่หอซีอวิ๋นแล้วเช่นกัน

ฟางรั่วกำลังดูเหล่านางกำนัลในวังทำความสะอาดในเรือน เมื่อนางเห็นจูอวี้เหยียนกลับมาด้วยความโกรธ ก็รีบเดินไปรับหน้าทันที

“นายหญิง ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”

เพื่อปิดบังผู้อื่น สาวใช้ทุกคนในตำหนักต้องเรียกจูอวี้เหยียนว่านายหญิง

จูอวี้เหยียนเดินเข้าไปในห้องโถงกลาง นั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าขุ่นเขียว

“อินชิงเสวียนนังสารเลว ข้าจะถลกหนังของนางออก เลาะเส้นเอ็นของนาง เพื่อบรรเทาแค้น”

เมื่อมองดูรอยฝ่ามือบนใบหน้าของนาง ฟางรั่วก็รู้ว่าจูอวี้เหยียนถูกสั่งสอนมาอีกแล้วแน่

พอนึกถึงตอนที่อยู่ในเจียงวูนางอยู่ในตำแหน่งสูง แม้แต่ราชาเผ่าอูเอินก็ยังต้องยอมให้นาง พอมาถึงที่นี่กลับต้องอับอายครั้งแล้วครั้งเล่า จูอวี้เหยียนผู้หยิ่งผยองจะทนได้อย่างไร

“ราชครูกล่าวถูกต้องแล้ว อินชิงเสวียนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ฟางรั่วก็เกลียดนางเข้ากระดูกดำเช่นกัน เพียงแต่ว่าดีนกยูงของเราดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลกับนาง ต้องทำอย่างไรถึงจะจัดการกับนางได้”

จูอวี้เหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “รอให้ข้าฝึกกู่ในมือให้ได้สามตัวก่อนเถอะ จะทำให้นางทรมานจนร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ ร้องขอความตายก็ไม่ได้”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์