ใบหน้าของจูอวี้เหยียนมืดมน สาวใช้ทุกคนถอยออกไปอย่างรู้สถานการณ์
นางเดินกลับไปกลับมา แววตาเหี้ยมเกรียม จากนั้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียง
ในเมื่อจิตใจของเย่จิ่งอวี้แน่วแน่ถึงเพียงนี้ จึงต้องใช้ท่าไม้ตายแล้ว
นางรวบรวมสมาธิ กระตุ้นเลือดหัวใจออกมา
ความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจ ทำให้ใบหน้าของจูอวี้เหยียนบิดเบี้ยวด้วยความร้าวราน นางคำรามเบาๆ และมีเหงื่อชั้นบางๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากทันที
กู่แม่ที่ในร่างกายสัมผัสได้ถึงเลือดหัวใจ จู่ๆ ก็เกิดความโกลาหล จูอวี้เหยียนถือโอกาสกระตุ้นกู่เสน่หา หนอนกู่ตื่นเต้นในฉับพลัน มันเพรียกหากู่ลูกที่อยู่ในร่างของเย่จิ่งอวี้ให้ตื่นขึ้น
เย่จิ่งอวี้กำลังตรวจฎีกาในห้องหนังสือ จู่ๆ จิตใจก็กระสับกระส่าย
หลังจากตวัดพู่กันเพียงไม่กี่หน เขาก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ วางพู่กันลงอย่างทนไม่ได้
หลี่เต๋อฝูรีบเข้ามาหาแล้วถามว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเหนื่อยแล้วกระมัง”
หลายวันมานี้เย่จิ่งอวี้ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า อารมณ์ไม่มั่นคง ซึ่งทำให้หลี่เต๋อฝูและคนอื่นๆ ต่างอกสั่นขวัญแขวน จะทำหรือพูดอะไรต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นอย่างหงุดหงิด
“วันนี้ไม่ตรวจแล้ว”
หลี่เต๋อฝูโค้งกายคำนับ แล้วถามว่า “ฝ่าบาทต้องการไปที่ใด ตำหนักจินหวู...หรือหอซีอวิ๋น?”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ก็ได้ยินเสียงขันทีน้อยตะโกนอยู่ข้างนอก “ฝ่าบาท นายหญิงฉู่จากหอปี้อวี้มาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เปล่งประกายด้วยความรังเกียจ
“นางมาที่นี่ทำไม”
หลี่เต๋อฝูกล่าวว่า “กระหม่อมจะไปปฏิเสธนางเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง ให้นางเข้ามา”
เย่จิ่งอวี้อารมณ์เสีย กำลังไม่รู้ว่าจะระบายอารมณ์อย่างไร เลยอยากเห็นว่าฉู่หลิงอวี้ต้องการมาทำอะไรที่นี่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉู่หลิงอวี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องอาหารในมือ โดยที่ไม่สามารถปกปิดนัยน์ตาแห้งความปีติของนางได้
ไม่ง่ายเลยจริงๆ ในที่สุดฝ่าบาทก็ยอมพบนางแล้ว
ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะไม่สนใจอินชิงเสวียนแล้วจริงๆ
“ฉู่หลิงอวี้ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
ฉู่หลิงอวี้คุกเข่าลงบนพื้น ทำความเคารพเต็มพิธีการ
“ลุกขึ้นเถอะ”
น้ำเสียงของเย่จิ่งอวี้มืดมน นิ้วที่ใส่ธำมรงค์หยกจับที่วางแขนเก้าอี้ไว้แน่น พยายามอย่างเต็มที่ที่จะระงับความวุ่นวายในใจ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฉู่หลิงอวี้ลุกขึ้นจากพื้น หยิบน้ำแกงโสมออกมาจากกล่องอาหาร
แล้วพูดเสียงดัดจริตว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้ฝ่าบาทยุ่งกับกิจการบ้านเมือง ร่างกายคงเหนื่อยล้ามาก หม่อมฉันจึงต้มน้ำแกงมาถ้วยหนึ่ง เพื่อบำรุงสุขภาพของฝ่าบาทโดยเฉพาะ”
เย่จิ่งอวี้พูดเรียบๆ “วางข้างๆ นั่นเถอะ”
ฉู่หลิงอวี้แอบชำเลืองมองเย่จิ่งอวี้ เห็นว่าเขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม หน้าตาหล่อเหลา เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มรูปงามที่หาได้ยากในโลก หากได้รับใช้เขาแม้เพียงคืนเดียว ชีวิตนี้ก็คุ้มค่าแล้ว
“ฝ่าบาทยุ่งมาทั้งวัน คงเหนื่อยแล้ว ให้หลิงอวี้ช่วยยกไปให้ฝ่าบาทเสวยนะเพคะ”
กว่าจะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทสักครั้งช่างยากเย็น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสดงฝีมือให้เต็มที่
ฉู่หลิงอวี้ดึงฝาเครื่องลายครามสีขาวที่ปิดชามขึ้น แล้วตักออกมาหนึ่งช้อน
นิ้วของเย่จิ่งอวี้จับที่วางแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย ขบกราบเป็นสันนูน ความอดทนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
“ข้าไม่อยากกินตอนนี้ เจ้าออกไปเถอะ”
แต่ฉู่หลิงอวี้กลับอ่านสีหน้าไม่ออก ถือช้อนแล้วพูดว่า “นี่คืออาหารที่หลิงอวี้ตุ๋นด้วยความพยายาม อย่างน้อยฝ่าบาทก็ลองชิมดูหน่อยสิเพคะ”
นางมองเย่จิ่งอวี้ด้วยสายตาออดอ้อน เต็มไปด้วยความเสน่หา
วินาทีต่อมา มือที่เห็นเส้นเลือดปูดชัดก็คว้าหมับที่ลำคอของนาง
เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฉู่หลิงอวี้ก็ถูกบีบคอยกขึ้นจนตัวลอย เท้าเตะอยู่กลางอากาศ
ฉู่หลิงอวี้กำลังนั่งไอแค่กๆ อยู่บนพื้น เมื่อนางได้ยินจูอวี้เหยียนพูดเช่นนี้ นางก็ตกใจจนใบหน้าเขียวคล้ำ
พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท โปรดอย่าฟังเรื่องนางพูดจาเหลวไหล หม่อมฉันไม่เคยตั้งพรรคตั้งพวก ยิ่งไม่เคยกล้าสร้างปัญหาในวังหลัง หม่อมฉันและนายหญิงคนอื่นมาชุมนุมเพราะว่างจึงมาคุยกัน ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลย”
อย่างมากก็แค่อิจฉาริษยา พูดจาหยาบคายกันส่วนตัวบ้างไม่กี่คำเท่านั้น
จูอวี้เหยียนพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้ามาจากเจียงวู ไม่มีความแค้นใจกับเจ้า ทำไมข้าต้องสร้างเรื่องใส่ร้ายเจ้าด้วยเล่า ข้าแค่พูดความจริง”
หลังจากพูดจบก็หันไปหาเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดเสียงหวานหยาดเยิ้ม “ฝ่าบาทคิดว่าคำแนะนำของหม่อมฉันเป็นเช่นไรเพคะ”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ดีมาก ทหาร มาลากฉู่หลิงอวี้เข้าวังเย็น”
ฉู่หลิงอวี้ตกตะลึง
ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองที่มายังห้องหนังสืออย่างกระตือรือร้น จะก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ขึ้นมาได้
จะมีใครสักกี่คนในโลกที่มีความสามารถเหมือนกับอินชิงเสวียน ที่สามารถออกมาจากวังเย็นได้ แม้ว่าจะหลบหนีออกมาได้ แต่นางก็ไม่มีลูก จะทำให้เย่จิ่งอวี้ให้ความสำคัญกับตัวเองได้อย่างไร
นางคว้าชายเสื้อของเย่จิ่งอวี้ไว้แน่น
“ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย หม่อมฉันยินดีรับการลงโทษทุกอย่าง หวังเพียงว่าฝ่าบาทจะไม่ส่งหม่อมฉันเข้าวังเย็น”
เย่จิ่งอวี้เตะนางออกไป
“พาตัวไป”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!”
เสียงของฉู่หลิงอวี้ค่อยๆ จางหายไป
หลี่เต๋อฝูค้อมกายลงต่ำอีกเล็กน้อย
ฝ่าบาทเป็นอะไรไป นายหญิงฉู่ไม่ได้กระทำความผิดใหญ่โต แต่กลับถูกโยนเข้าวังเย็นไปเช่นนี้ ปล่อยผ่านไม่ได้แล้ว
ไม่ได้การแล้ว ต้องไปบอกกุ้ยเฟย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จูอวี้เหยียนก็ประคองเย่จิ่งอวี้ขึ้นไปบนเก้าอี้ ด้วยสีหน้าลำพองใจ
จากนั้นก็พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เหยียนหงเดินทางมาไกล เพื่อรับใช้ฝ่าบาท แต่ไม่คิดว่าจะตกเป็นเป้าหมายของกุ้ยเฟยหลายต่อหลายครั้ง ฝ่าบาทต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...