สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 533

อินชิงเสวียนบรรเลงเพลงพิณต่อหน้าคนนอกเป็นครั้งแรก นางจึงรู้สึกไม่มั่นใจ

ทักษะการเล่นพิณของนางยังไม่ชำนาญมากพอ อีกทั้งพิณตัวนี้ก็ไม่ใช่พิณการเวก จึงไม่แน่ใจว่าจะบรรเลงได้ผลดีหรือไม่

ตอนนี้ทำได้เพียงลองพยายามอย่างเต็มที่เท่านั้น เพื่อเพิ่มพลังในการบรรเลงพิณ อินชิงเสวียนจึงแลกทักษะห้าสิบห้าสิบ ซึ่งเป็นทักษะการเลียนแบบอีกฝ่ายมาจากในมิติ เมื่อพลังไม่มากพอก็จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย

เสียงพิณดุจสายน้ำ ไหลออกมาอย่างเชื่องช้า จิตใจของอินชิงเสวียนก็ค่อยๆ สงบลง และใช้สมาธิทั้งหมดในการบรรเลงพิณ

อากาศที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากเสียงพิณ คล้ายระลอกคลื่นที่ซัดกระเพื่อมเป็นชั้นๆ คลื่นเสียงสัมผัสร่างของอินสิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว และหายเข้าไปในร่างของเขาทันที ราวกับว่ามันพบทางระบาย

อินชิงเสวียนมองไม่เห็นระลอกคลื่นเสียงนั้น สมาธิของนางยังคงจดจ่ออยู่ที่ใจหินผา หลังจากนั้นไม่นาน ใจหินผาก็บรรเลงได้ช่ำชองมากขึ้น จังหวะของบทเพลงก็ยิ่งสงบมากขึ้นเรื่อยๆ

อินปู้อวี่รู้ว่าน้องใหญ่กลับมาแล้ว จึงรีบเข้ามาพบในทันที เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แวบผ่านเข้ามา เขาคุกเข่าหนึ่งข้างลงที่พื้นและหลับตาตั้งใจฟังอย่างไม่อาจห้ามใจได้

อินชิงเสวียนก็จมดิ่งอยู่ในห้วงของบทเพลง ด้านหน้ามีกระแสน้ำวนปรากฏขึ้นมา บรรยากาศรอบด้านก็เต็มไปด้วยเสียงนกและกลิ่นหอมของดอกไม้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ก็มีเสียงคนถามขึ้นด้วยความอิดโรย “ที่นี่คือ... ที่ไหนกัน พวกเจ้า... คือผู้ใด?”

อินชิงเสวียนและอินปู้อวี่ตื่นตกใจพร้อมกัน

“พี่ใหญ่!”

อินปู้อวี่วิ่งเข้ามาจากด้านนอก และพุ่งไปหน้าเตียงด้วยความตื่นเต้น

เสียงพิณหยุดชะงักลงในทันที อินชิงเสวียนเงยหน้ามองไปที่เตียง

เมื่อเห็นอินสิงอวิ๋นกำลังฝืนร่างกายลุกขึ้น มองไปที่อินปู้อวี่ด้วยสีหน้าที่มึนงง เพราะร่างของเขาถูกโซ่เหล็กจองจำไว้อยู่ จึงไม่สามารถลุกขึ้นได้

อินปู้อวี่กอดอินสิงอวิ๋นไว้ ความดีใจที่มากเกินไปทำให้น้ำเสียงของเขาสั่นไหวเล็กน้อย

“พี่ใหญ่ ในที่สุดพี่ก็ฟื้นเสียที”

อินสิงอวิ๋นดิ้นขัดขืนเล็กน้อย

“พี่ใหญ่? ข้า... ข้าไม่รู้จักเจ้า”

อินชิงเสวียนวางพิณลง และลุกขึ้นยืน

“พี่ใหญ่ ท่านไม่รู้จักพวกเราจริงๆ งั้นหรือ?”

อินสิงอวิ๋นส่ายหน้า

“พวกเจ้าคือใคร?”

อินปู้อวี่รีบพูดว่า “ข้าคือน้องชายของท่าน นี่คือน้องใหญ่ของพวกเราไงเล่า? พี่รอก่อนนะ ข้าจะไปตามท่านพ่อมา”

อินปู้อวี่เป็นคนมีนิสัยใจร้อน พูดจบก็วิ่งออกไปราวกับสายลม

อินชิงเสวียนมองอินสิงอวิ๋น เสียดายที่นางไม่เข้าใจพิษกู่ ไม่รู้เรื่องการแพทย์ จึงไม่แน่ใจว่าหนอนกู่ในร่างกายของเขาถูกกำจัดแล้วหรือไม่

ทว่า... สามารถเรียกเย่จิ่งหลานมาตรวจดูให้ได้

เครื่องมือของเขาล้ำหน้าอย่างมาก หากด้านในร่างกายของอินสิงอวิ๋นมีสิ่งของอยู่ จะต้องมองเห็นอย่างแน่นอน

ในระหว่างที่ครุ่นคิด อินจ้งก็สาวเท้าเข้ามาในห้องอย่างว่องไว

เมื่อเห็นอินสิงอวิ๋นกำลังมองไปรอบด้าน เขาก็ร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“สิงอวิ๋น เจ้าฟื้นเสียที พ่อแทบขาดใจตายอยู่แล้ว”

“ท่านคือ... ท่านพ่องั้นหรือ?”

อินสิงอวิ๋นทองอินจ้ง สายตาเต็มไปด้วยความแปลกหน้า

อินจ้งพนักหน้า

“ถูกต้อง เจ้าคือลูกชายสุดที่รักของข้า”

อินสิงอวิ๋นยังคงทำสีหน้ามึนงง เขากลอกลูกตาไปมาเพื่อมองรอบด้าน ในใจรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขาดหายไป และต้องการตามหา แต่กลับคิดไม่ออกว่ากำลังตามหาอะไร

อินปู้อวี่ขยับมือเพื่อปลดกุญแจออก แต่ถูกอินชิงเสวียนห้ามเอาไว้

“พี่รองอย่าเพิ่งรีบร้อนไป รอให้ข้าเรียกฝูอี้อ๋องมาตรวจดูอาการก่อน หากพี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ค่อยปลดกุญแจให้เขาก็ยังไม่สาย”

อินจ้งทำสีหน้าแปลกใจ

“ฝูอี้อ๋อง? เขา... รักษาโรคได้งั้นหรือ?”

ในความทรงจำของเขา ฝูอี้อ๋องยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบ

อินชิงเสวียนพยักหน้า

“หลายวันก่อนฝ่าบาทถูกแทง เขาเป็นผู้ช่วยชีวิตเอาไว้ จอมพลเฒ่ากวนก็เคยเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ได้ฝูอี้อ๋องช่วยเอาไว้”

ตอนนี้กวนลี่จือยังกล้าทำตัวอวดดี ช่างไม่กลัวตายจริงๆ

นางดูถูกดูแคลนพวกลูกผู้ดีมีเงินมาตลอด จึงรีบขี่ม้าเดินเข้าไป

พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”

กวนลี่จือที่กำลังได้ใจอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ก่นด่าโดยไม่เงยหน้ามอง “ให้ตายเถอะ แกเป็นใครกัน”

เมื่อสบตากัน ก็เห็นกับอินชิงเสวียนในทันที

กวนลี่จือตกใจอย่างอดไม่ได้ เหตุใดจึงมาพบกับนังผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว

“บังอาจนัก”

อินปู้อวี่พูดเสียงเข้ม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความโมโห

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือผู้ใด?”

กวนลี่จือรู้เต็มอกว่าอินชิงเสวียนคือผู้ใด เมื่อนึกถึงคำเตือนที่ท่านปู่พูดมาตลอด ทำให้ช่วงนี้เขาไม่ค่อยกล้าก่อเรื่องกับคนในราชวงศ์ ไม่เช่นนั้นจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ กวนลี่จือหนาวสะท้าน รีบสะบัดชุดคลุมและคุกเข่าลงพื้น

“คุณชายผู้สูงศักดิ์อย่าได้ถือสาผู้น้อยเลยขอรับ”

อินชิงเสวียนกวาดสายตามองเขา เจ้าสุนัขนี่รู้จักกาลเทศะมากทีเดียว ไม่ได้เผยตัวตนของนางออกมา

“หากครั้งหน้ายังกล้าผู้หญิงลวนลามอีก ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

กวนลี่จือพยักหน้าและโน้มตัวลงพูดว่า “คุณชายวางใจได้ ข้าน้อยรับรองว่าต่อไปจะประพฤติตัวให้ดีขอรับ”

เมื่อมองท่าทางของผู้ชายเจ้าสำอางคนนี้ อินปู้อวี่แทบสำรอกออกมา

“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก”

“ขอรับ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้ เร็ว รีบไสหัวไปสิ”

กวนลี่จือพูดจบก็นำพวกข้ารับใช้ของขุนนางใหญ่นอนราบไปกับพื้น และกลิ้งออกไปไกล

อินชิงเสวียนไร้คำจะพูด การมีหลานชายแบบนี้ ถือว่าตระกูลของกวนเมิ่งถิงล้มเหลวอย่างมาก

เมื่อแม่นางน้อยเห็นว่าสองคุณชายไล่ชายหนุ่มที่มีความประพฤติเลวทรามไปแล้ว จึงคุกเข่าลงบนพื้นทันที และหมอบตัวคำนับ

“ราษฎรผู้ต่ำต้อยจังอวี้จิ่น ขอขอบพระคุณคุณชายทั้งสอง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์