สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 536

อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เหมือนมีคนจ้องข้าอยู่”

อินปู้อวี่ขยับเท้าเล็กน้อยโผบินขึ้นหลังคา เมื่อมองไปรอบๆ ก็พูดขึ้นว่า “ไม่มีใครเลยนะ?”

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ข้าอาจมองผิดพลาดไป เฝ้าพี่ใหญ่ไว้ให้ดี ข้าจะไปดูที่โถงด้านหน้า”

อินปู้อวี่หัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก

“น้องใหญ่วางใจได้ ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้ว สองวันนี้ข้าจะดูแลเขาให้ดี”

อินชิงเสวียนพยักหน้า และพูดกำชับอีกว่า “อาซือหลานยังไม่ตาย เขาจะมาถึงเมืองหลวงตอนไหนก็ย่อมได้ คนคนนี้มีแผนการซับซ้อน พี่และท่านพ่อต้องระวังไว้ให้ดีที่สุด”

“ข้ารู้แล้ว”

อินปู้อวี่ตอบรับอย่างอารมณ์ดี

ตอนนี้พี่ใหญ่หายดีแล้ว ครอบครัวได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันจริงๆ เสียที

ขณะเดียวกันนั้น ในตรอกที่ไม่ไกลมากนัก

คนตัวเตี้ยหลายคน หน้าตาอัปลักษณ์ กำลังรวมตัวกันและพูดภาษาที่ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ

หนึ่งคนในนั้นชี้ไปที่ตระกูลอิน อีกหลายคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หนึ่งคนในนั้นก็หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมา และทันทีที่มีควันลอยขึ้นมา คนคนนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับ

คนที่เหลือต่างมองหน้ากัน และหายไปในฝูงคน

ตระกูลอิน

อินชิงเสวียนเดินมายังบ้านส่วนหน้า

อินจ้งเชิญเย่จิ่งหลานนั่งที่ตำแหน่งสูงสุด เมื่อรู้ว่ามีแขกคนสำคัญ ซูหมิงหลานก็รีบพาคนไปทำอาหาร ไม่อาจชักช้าในการต้อนรับแขกได้

อินจ้งจึงต้มน้ำชา และรินให้เย่จิ่งหลานด้วยตัวเอง

ร่างกายของเย่จิ่งหลานเป็นเพียงเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบ อินจ้งที่มีอายุค่อนข้างมากจึงไม่รู้จะสนทนาอะไรกับเขา ทั้งสองพูดคุยแบบประดักประเดิดอยู่ครู่หนึ่ง อาหารก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ

อินจื่อลั่วช่วยยกอาหารขึ้นโต๊ะด้วยท่าทางที่ไม่ยอม เมื่อเห็นเด็กสาวแสดงท่าทีโมโห เย่จิ่งหลานยิ่งรู้สึกว่านางน่าขัน จึงพูดหยอกล้ออย่างอดไม่ได้

ท่านพ่อท่านแม่และท่านพี่ต่างอยู่กันครบ อินจื่อลั่วจึงไม่กล้าพูดมาก ทำได้เพียงกลอกตามองบนจ้องไปที่เขา

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เย่จิ่งหลานที่กินอิ่มท้องก็ลุกขึ้นยืน

“รบกวนนานแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับก่อน ขอบคุณใต้เท้าอินที่ต้อนรับเป็นอย่างดี”

อินจ้งยิ้มและพูดว่า “กระหม่อมต้องขอบพระทัยท่านอ๋อง วันใดที่ลูกชายหายดีแล้ว กระหม่อมจะพาเขาไปขอบพระคุณด้วยตัวเอง”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้พิถีพิถันมากขนาดนั้น”

เย่จิ่งหลานโบกมืออย่างสง่างาม จากนั้นก็พาผู้ติดตามออกไปจากจวนแม่ทัพ

อินชิงเสวียนก็เดินตามมาที่หน้าประตู ตอนที่เย่จิ่งหลานขึ้นรถ นางพูดเสียงเบาว่า “ท่านไม่ได้มีใจต่อจื่อลั่วหรอกใช่ไหม?”

เย่จิ่งหลานตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะร่าออกมา

“ท่านกำลังดูถูกข้า หรือว่าประเมินค่าน้องสาวของท่านสูงเกินไป?”

อินชิงเสวียนจ้องเขาตาถลน

“อย่าปากเสีย”

เย่จิ่งหลานยกมือยอมแพ้แล้วพูดว่า “เอาเถอะๆ ข้าเพียงรู้สึกว่าลักษณะท่าทางของนางเหมือนน้องสาวของข้า”

“น่าเสียดาย...”

เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “นางเสียไปก่อนที่ข้าจะเรียนจบเสียอีก”

เย่จิ่งหลานมองไปด้านหน้า สายตาแฝงไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่เสื่อมคลาย

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อินชิงเสวียนก็พอคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงรู้สึกผิดขึ้นมา

“ขอโทษด้วยนะ ข้าเพียงลองถามดูเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้”

เย่จิ่งหลานยิ้มอย่างเปิดเผยแล้วพูดว่า “เรื่องราวในอดีตทั้งนั้น พูดไปก็ไม่มีอะไร คนเราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในความทรงจำไปตลอดหรอก พวกเราก็ถือว่าเป็นคนที่อยู่มาสองยุคสมัย ต้องทำจิตใจให้เบิกบานถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ”

อินชิงเสวียนพูดอย่างเห็นด้วย “ท่านพูดถูก หากข้ามีจิตใจเหมือนท่านก็คงดี”

เย่จิ่งหลานมองนางแล้วพูดว่า “คงเป็นเพราะความแตกต่างของผู้หญิงและผู้ชายสินะ จิตใจของผู้หญิงละเอียดอ่อน ความกังวลก็มากตามไปด้วย ค่อยเป็นค่อยไปเถอะนะ ข้าเชื่อว่าท่านทำได้”

เย่จิ่งหลานประสานมือคำนับ ซึ่งเหมาะสมกับอายุของเขา

อินชิงเสวียนยักไหล่

อินชิงเสวียนเรียกจังอวี้จิ่น และนั่งรถม้าของตระกูลอินกลับวัง

จังอวี้จิ่นระมัดระวังท่าทีอย่างมาก สองมือกำชายเสื้อไว้แน่น พร้อมนั่งหลังตรง

อินชิงเสวียนพูดเสียงเบาว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น ในวังไม่ใช่สถานที่อันตราย เพียงแต่ต้องทำตามกฎระเบียบก็พอ”

จังอวี้จิ่นใช้แรงพยักหน้า

“เหนียงเหนียงวางใจได้เพคะ บ่าวจะเชื่อฟังทุกอย่าง สิ่งใดที่เหนียงเหนียงไม่ให้บ่าวทำ บ่าวไม่มีทางทำแน่นอนเพคะ”

เมื่อเห็นดวงตากลมโตมีน้ำตารื้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกสงสาร

หากอยู่ในยุคปัจจุบัน อายุประมาณจังอวี้จิ่นยังคงเข้าเรียนอยู่เลย ตอนนี้กลับเจอปัญหาบ้านแตกสาแหรกขาด ช่างน่าสงสารเสียจริง

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครฆ่าครอบครัวเจ้า?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จังอวี้จิ่นก็ตัวสั่นเล็กน้อย ภาพเหตุการณ์เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ พร้อมเสียงร้องโหยหวนก็ผุดขึ้นมาตรงหน้า

นางจำได้ว่าคนนั้นเรียกตัวเองว่าอินสิงอวิ๋น แต่นางก็รู้ดีว่าตัวเองเพิ่งมาติดตามเหนียงเหนียง ต่อให้พูดออกไปแล้ว เหนียงเหนียงก็อาจจะไม่ช่วยตัวเองแก้แค้น ขอเพียงอยู่รับใช้เหนียงเหนียงอย่างดีก่อน จึงจะขอร้องให้นางช่วยเหลือได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น จังอวี้จิ่นก็ก้มหน้าลง

“บ่าวจำไม่ค่อยได้แล้วเพคะ รู้แค่ว่าเป็นผู้ชาย”

อินชิงเสวียนถามอีกว่า “เจ้าเห็นหน้าตาของเขาหรือไม่? แจ้งทางการแล้วหรือ?”

จังอวี้จิ่นพูดเสียงเบาว่า “ผู้ที่ช่วยชีวิตข้าไว้บอกว่าพวกเขาจะช่วยข้าตามสืบ และบอกอีกว่าเรื่องนี้ศาลต้าหลี่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ หากต้องการแจ้งทางการก็ต้องกลับไปแจ้งที่ท้องถิ่น”

“อืม ข้าจะจำเรื่องนี้ไว้ อีกไม่กี่วันข้าจะหาเวลาตามคนมาช่วยเจ้าสืบเรื่องนี้”

จังอวี้จิ่นคุกเข่าลงด้วยความซาบซึ้งใจทันที

“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง ขอบพระทัยเหนียงเหนียง”

เดิมทีนางคิดว่าเหนียงเหนียงที่อยู่ในวังต่างสูงส่ง ไม่คิดว่าเหนียงเหนียงผู้นี้จะพูดจาอย่างเป็นกันเอง

อินชิงเสวียนยื่นมือมาพยุงจังอวี้จิ่น พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ไม่ต้องเกรงใจ ลุกขึ้นเถอะ”

เมื่อสนทนาได้ไม่นานนัก รถม้าก็มาหยุดที่หน้าประตูวัง เหลาต่งเปิดผ้าม่านออก และพูดอย่างเคารพว่า “เหนียงเหนียง ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์