ณ ตำหนักจินหวู
อินชิงเสวียนหยุดอยู่ที่หน้าประตู และพูดกับเย่จั้นว่า “รบกวนท่านอ๋องรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปอธิบายให้ฝ่าบาทฟังก่อน”
เย่จั้นถอดหน้ากากออก พยักหน้าพูดว่า “ได้สิ”
อินชิงเสวียนเดินเข้าไปในตำหนัก ทันทีที่เปลี่ยนความคิด เย่จิ่งอวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านในตำหนัก
“เสวียนเอ๋อร์!”
เขาหรี่สายตาคมมองอินชิงเสวียน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
มิติที่ไม่สามารถหนีออกไปได้คือที่ใดกัน เหตุใดเสวียนเอ๋อร์ต้องขังเขาไว้ที่นั่น?
อินชิงเสวียนรู้ว่าเย่จิ่งอวี้ต้องถามอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้ต้องทดสอบเขาเสียก่อน
“ฝ่าบาท หญิงรับใช้หลายคนของเจียงวูกระทำความผิด หม่อมฉันได้จับตัวพวกนางไปที่คุกหลวงชั้นในแล้ว”
เมื่อเห็นดวงตากลมโตสีขาวดำชัดเจน เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าหญิงรับใช้ของเจียงวูคือใคร
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มจางๆ และพูดว่า “เสวียนเอ๋อร์เป็นกุ้ยเฟยแห่งวังหลัง แน่นอนว่าเจ้ามีอำนาจในการลงโทษพวกนาง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรายงานข้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนก็สบายใจทันที เย่จิ่งอวี้ไม่ได้พร่ำบ่นอีกแล้ว สติปัญญาของเขาน่าจะเป็นปกติแล้ว
นางยื่นมือออกมาโค้งคำนับแล้วพูดว่า “นอกจากเรื่องนี้แล้ว หม่อมฉันและเสด็จอายังมีเรื่องที่กระทำผิดต่อฝ่าบาท”
เย่จิ่งอวี้มองนางแล้วถามว่า “เหตุใดเสวียนเอ๋อร์ต้องจริงจังเช่นนี้ด้วย ความผิดของเจ้าและเสด็จอาคือเรื่องใดกัน?”
“รอให้เสด็จอาเข้ามาก่อน หม่อมฉันค่อยอธิบายให้ฝ่าบาทฟังนะเพคะ”
อินชิงเสวียนเปิดประตูตำหนัก และเรียกเย่จั้นเข้ามา
เมื่อเห็นเย่จั้นสวมเสื้อผ้าของตัวเอง เย่จิ่งอวี้ก็ทำหน้างุนงง
“เสด็จอา... นี่ท่าน...”
อินชิงเสวียนและเย่จั้นคุกเข่าลงพร้อมกัน
“เพื่อช่วยฝ่าบาท หม่อมฉันและเสด็จอาได้ใช้วิธีการเหล่านี้ ฝ่าบาทได้โปรดอภัยให้ด้วยเพคะ”
เย่จั้นก็หมอบลงที่พื้น พูดด้วยความเคารพอย่างจริงจังและหนักแน่น “กระหม่อมได้ลงมือกระทำความผิดต่อโอรสแห่งสวรรค์ และควรได้รับโทษดังที่กล่าวอ้าง กระหม่อมยินยอมรับการลงโทษทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่ข้างเตียง ก้มหน้ามองพวกเขาสองคน และค่อยๆ นึกถึงเรื่องราวในจวนจิ้งอ๋อง คิ้วคมขมวดขึ้นเล็กน้อย และคลายออกอย่างช้าๆ
เขาเดินมาด้านหน้า และเอื้อมมือไปพยุงให้ทั้งสองลุกขึ้น
จึงถอนหายใจและพูดว่า “พวกเจ้าคือคนที่สนิทชิดเชื้อกับข้ามากที่สุด ข้าเชื่อว่าเสวียนเอ๋อร์และเสด็จอาไม่มีทางกระทำสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อข้า ต้องเป็นเพราะเกิดเรื่องสำคัญขึ้น จึงต้องทำเช่นนี้อย่างไม่มีทางเลือก”
เย่จั้นเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“ฝ่าบาททรงเป็นผู้ปกครองที่ชาญฉลาดและมีเหตุผล มีปรีชาญาณฉลาดปราดเปรื่อง ต้าโจวสามารถมีประมุขเช่นนี้ นับเป็นความสุขีของประชาชน”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านและข้าเป็นอาหลานกัน ไม่จำเป็นต้องพูดจาทางการเช่นนี้ ช่วงนี้ข้าโง่เขลาเบาปัญญา เสด็จอาและเสวียนเอ๋อร์ได้โปรดเล่าด้วยเถิดว่าเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง”
เย่จั้นหันไปทางอินชิงเสวียนทันที
“พระนางกุ้ยเฟยเล่าจะดีกว่า”
อินชิงเสวียนพยักหน้า เรื่องที่เย่จิ่งอวี้ถูกฝังกู่เสน่หา รวมทั้งเรื่องที่เขาทำตัวผิดปกติในช่วงนี้ นางเล่าให้เย่จิ่งอวี้ฟังทั้งหมด
นางร่วมมือกับเย่จั้น ก็เพราะไม่รู้ควรทำอย่างไร
เย่จิ่งอวี้ได้ฟังก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องมากมายขึ้นในระยะเวลานี้ เขากลับรู้สึกราวกับฝันไป และรู้สึกเหมือนกำลังชมดอกไม้ในสายหมอกอยู่ตลอดเวลา
เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนนำพิษกู่เข้าสู่ร่างกายตัวเอง เย่จิ่งอวี้ก็อดห่วงขึ้นมาไม่ได้ จึงรีบถามว่า “เสวียนเอ๋อร์นำพิษกู่เข้าร่างกาย รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
อินชิงเสวียนยิ้มจางๆ
“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันสบายดีทุกอย่าง และหม่อมฉันก็ไม่รู้วิธีการกระตุ้นพิษกู่ ไม่มีผลร้ายต่อฝ่าบาทแน่นอนเพคะ”
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนพูดอย่างสบายๆ เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกผิดอย่างมาก
“เพคะ”
ทั้งสองจูงมือกันเดินกลับมาที่ตำหนักจินหวู
อินชิงเสวียนให้ยายหลี่อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้ามา หลายวันนี้เจ้าเด็กอ้วนเอาแต่ตะโกนเรียกเสด็จพ่อๆ จะต้องคิดถึงพ่อของเขามากแน่ๆ
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ ผลปรากฏว่ามือไม้เสี่ยวหนานเฟิงเต้นระบำดีดดิ้น และคว้าต้นคอของเย่จิ่งอวี้ไว้แน่น
ร่างเล็กที่นุ่มนิ่มประกอบกับกลิ่นหอมจางๆ ของนม เย่จิ่งอวี้สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนทันที จึงหอมแก้มอวบอ้วนของจ้าวเอ๋อร์อย่างแรงด้วยความอดใจไม่ได้
“จ้าวเอ๋อร์ คิดถึงเสด็จพ่อใช่หรือไม่?”
ดวงตาของเสี่ยวหนานเฟิงโค้งขึ้นราวกับพระจันทร์เสี้ยว พร้อมตบที่หน้าอกเล็กๆ ด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย
“คิดถึง~”
เมื่อเห็นท่าทางน่ารักของลูกชาย อินชิงเสวียนก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
นางจับมือเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิงแล้วถามว่า “ใครเป็นคนสอนเจ้า?”
เสี่ยวหนานเฟิงชี้นิ้วไปที่ด้านหลัง และพูดด้วยเสียงนุ่มนิ่มว่า “หมัวมัว~”
ยายหลี่รีบยิ้มแล้วพูดว่า “หลายวันนี้ฮ่องเต้น้อยเปลี่ยนแปลงขึ้นมาก ชอบเรียนรู้สิ่งต่างๆ และชอบพูดคุยมากขึ้นเรื่อยๆ และเดินมั่นคงกว่าเมื่อก่อนมากเลยเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย
“จ้าวเอ๋อร์เดินได้แล้วงั้นหรือ?”
ยายหลี่พูดตอบด้วยความเคารพ “ทูลฝ่าบาท ร่างกายฮ่องเต้น้อยของพวกเราแข็งแรงมากเพคะ เรียนรู้ว่องไวกว่าเด็กคนอื่นๆ หลายวันนี้ไม่ยอมนั่งในรถเข็นแล้วเพคะ”
เย่จิ่งอวี้แนบหน้าลงกับใบหน้าของเสี่ยวหนานเฟิง และรู้สึกผิดอยู่ในใจ
เรื่องสำคัญขนาดนี้เขากลับไม่รู้ ช่างละอายใจที่จะเป็นพ่อคนจริงๆ ต่อไปจะต้องหาเวลามาอยู่กับจ้าวเอ๋อร์ให้มากขึ้นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...