“คนที่เจ้ากำลังพูดถึงไม่ใช่พี่ใหญ่ของข้า คนผู้นี้มีนามว่าอาซือหลาน เป็นท่านอ๋องจากเจียงวู เขาเป็นคนโหดร้ายและไร้ความปรานีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สังหารพวกเจ้าทั้งหมู่บ้าน ต้องเป็นเพราะเขากลัวว่าข่าวการมีชีวิตของเขาจะถูกเปิดเผย หากเจ้ายังไม่เชื่อ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปตระกูลอิน ดูให้เห็นกับตาว่าอินสิงอวิ๋นตัวจริงหน้าตาเป็นอย่างไร”
เสียงของอินชิงเสวียนราบเรียบได้ระดับ
จังอวี้จิ่นอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น
“ที่พระสนมพูด...ล้วนเป็นความจริงหรือ”
อวิ๋นฉ่ายพูดด้วยความโกรธ “พระสนมจะปดเจ้างั้นรึ หากพระสนมต้องการจัดการเจ้า เจ้าคงตายไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้คำโกหกเหล่านี้มาหลอกเจ้าไม่ใช่รึ”
จังอวี้จิ่นเหงื่อแตกพลั่กอย่างอดไม่ได้
ตัวเองเกือบจะทำร้ายคนดีแล้ว อยู่ๆ ก็รู้สึกผิดไม่สบายใจ โขกศีรษะขออภัยอินชิงเสวียนซ้ำๆ
“หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ หม่อมฉันเข้าใจผิดว่าพี่ใหญ่ของพระสนม เกือบจะทำร้ายองค์ชายน้อย พระสนมโปรดลงโทษด้วย”
เมื่อเห็นจังอวี้จิ่นโขกศีรษะจนช้ำและมีเลือดออก อินชิงเสวียนก็ทนไม่ไหว
เด็กคนนี้ไม่มีเจตนาร้ายใดๆ นางแค่อยากแก้แค้นเท่านั้น หากเป็นตัวเองที่เผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้ ก็คงสับสนไปหมดเช่นกัน
ถึงอย่างไรภาพที่ทั้งหมู่บ้านถูกสังหาร นางยังเห็นด้วยตาของตัวเอง ก็จะกลายเป็นฝันร้ายที่จะคงอยู่ไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
นางถอนหายใจ ดึงจังอวี้จิ่นขึ้นมา
“คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าก็มีความแค้นกับอาซือหลานเหมือนกัน ข้าจะช่วยเจ้าทำให้เขาได้รับโทษแน่นอน”
จังอวี้จิ่นรู้สึกซาบซึ้งใจ แล้วนางก็คุกเข่าโขกศีรษะอีกสามครั้ง จากนั้นลุกขึ้นยืนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม
เสี่ยวอานจื่อก็กลับมาตอนนี้พอดี พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พระสนม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว”
อินชิงเสวียนพยักหน้า
“อืม พรุ่งนี้ค่อยเอาเลือดนางออกอีก ปล่อยให้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกนี้”
นางไม่ได้อยากแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวังหลังเลยด้วยซ้ำ แต่นางจะไม่ให้อภัยผู้ที่ทำร้ายคนของตัวเอง โดยเฉพาะเด็กที่เกิดแลกมาด้วยชีวิตของเจ้าของร่างเดิม
เสี่ยวอานจื่อตอบทันที “พระสนมโปรดวางใจ กระหม่อมรับรองว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างดี”
จังอวี้จิ่นที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
แม้แต่ในสนมในวังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ กุ้ยเฟยยังสามารถจัดการได้ นับประสาอะไรกับตัวเอง ถือว่าพระสนมใจดีกับตัวเองมากแล้ว ต่อไปจะต้องดูแลชีวิตประจำวันของพระสนมให้ดีเพื่อเป็นการตอบแทนอย่างแน่นอน...
วันต่อมา
อินชิงเสวียนตื่นแต่เช้าตรู่ ผลัดเปลี่ยนชุดบุรุษ เตรียมตัวไปสำนักศึกษาหลวง
บทเรียนเหล่านี้ไม่สามารถสอนให้จบได้ภายในวันสองวัน หากต้องการเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาของแคว้นต้าโจวโดยสิ้นเชิง ถือเป็นงานที่ยาวนานและยากลำบากจริงๆ
ตอนที่อินชิงเสวียนคิดแนวคิดนี้ขึ้นมา นางก็เตรียมตัวเตรียมใจแล้ว
แต่นางก็ไม่เสียใจเลย เพราะสวรรค์อนุญาตให้นางข้ามมิติมายังยุคสมัยนี้ นางต้องทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้ข้างหลัง เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเคยมา
หากสิ่งเหล่านี้สามารถส่งต่อไปยังรุ่นต่อไปได้ ก็นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
หลังจากจัดเก็บของเรียบร้อย อินชิงเสวียนก็พร้อมที่จะออกจากวัง เมื่อนางเปิดประตู ก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาพอดี
เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวใบไผ่ที่มีลวดลายไม่มากนัก มีเพียงหยกขาวสองชิ้นห้อยอยู่รอบเอว เมื่อประกอบกับใบหน้าที่หล่อเหลาและยิ้มแย้มของเขา ทำให้รู้สึกสดชื่นราวกับหนุ่มน้อยข้างบ้านผู้อบอุ่น
“เสวียนเอ๋อร์จะออกไปแล้วหรือ”
อินชิงเสวียนเอียงคอพูดว่า “ใช่เพคะ ประเดี๋ยวใต้เท้าเฒ่าเหล่านั้นจะหาว่าหม่อมฉันทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ อีก”
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉางจี้จิ่วอุทิศชีวิตเพื่อศึกษาความรู้ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เสวียนเอ๋อร์อย่าโกรธเขาเลย แม้ว่าคนผู้นี้จะดื้อรั้นไปบ้าง แต่ก็ยังพิถีพิถันในการทำงาน ไม่เคยผิดพลาด หายากมากจริงๆ”
อินชิงเสวียนยักไหล่พูดว่า “หม่อมฉันไม่ได้โกรธพวกเขา แค่ไม่อยากถูกจู้จี้ตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะใต้เท้าเฒ่าเหล่านี้กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ หม่อมฉันคงไม่ไปแล้ว”
เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและกล่าวว่า “ดีแล้ว วันนี้ข้าไม่มีอะไรทำ จะไปกับเสวียนเอ๋อร์ด้วย ถือโอกาสฟังการบรรยายของกุ้ยเฟยน้อยของข้าด้วย”
“ได้สิเพคะ แต่จ้าวเอ๋อร์...”
เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่จริงจังนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเย่จิ่งอวี้
ไม่คาดคิดว่าท่าทางที่แม่หนูน้อยของเขาสอน จะดูเข้าท่าเช่นนี้
ช่วงเช้าจบลงอย่างรวดเร็ว เย่จิ่งอวี้ฟังด้วยความสนใจอย่างมาก ยังเกิดความคิดใหม่ๆ ขึ้นมาไม่หยุดอีกด้วย
อินชิงเสวียนจิบชาแล้วเดินไปหาเย่จิ่งอวี้
“ฝ่าบาทคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
เย่จิ่งอวี้ชมเชย “วิเศษมาก คิดไม่ถึงว่าสูตรง่ายๆ เหล่านี้จะให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปาก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน อย่าประมาทตัวเลขและสัญลักษณ์เหล่านี้ หากเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้ดี เจ้าสามารถเดินทางท่องไปทั่วโลกได้เลยเชียวล่ะ”
“โอ้? เยี่ยมยอดขนาดนั้นเลยหรือ”
เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วขึ้น
อินชิงเสวียนพูดอย่างมั่นใจ “แน่นอน”
“เช่นนั้นว่างๆ ข้าก็จะเรียนด้วย”
หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบเขาก็ลุกขึ้น ฉางจี้จิ่วและคนอื่นๆ เดินออกมาส่งทันที แต่เย่จิ่งอวี้ไม่ได้กลับวัง แต่ไปยังจวนจิ้งอ๋อง
อินชิงเสวียนฉงน อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่จิ่งอวี้
เย่จิ่งอวี้เหยียดนิ้วชี้ออกมา และแตะหน้าผากของนางเบาๆ
“เจวี๋ยอิ่งพบเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในเมื่อเราออกจากวังแล้ว ข้าจึงถือโอกาสมาข่าวให้เสด็จอาทราบ”
อินชิงเสวียนกุมศีรษะ ทำตาค้อนปะหลับปะเหลือกถามว่า “หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหนหรือเพคะ”
เย่จิ่งอวี้เอนกายบนรถม้า หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ยังไม่ทราบ ดูเหมือนว่าในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีใครอยู่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...