สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 591

ถนนเทียนเจียเป็นถนนสายที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในเมืองหลวง สองข้างทางล้วนเป็นพ่อค้าเร่ที่ทำการค้าขาย ด้านล่างก็มีประชาชนจำนวนมากที่ทำการจับจ่ายใช้สอย เย่จิ่งอวี้จึงขมวดคิ้วคมอย่างอดไม่ได้

ทว่าความล่าช้านี้ ก็ทำให้ระยะทางของทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น อาซือหลานคิดจะหนีอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

เมื่อลองกวาดสายตาไปรอบๆ แล้ว ทันใดนั้นก็ได้เห็นเรือนจุ้ยหงที่ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงามอยู่ตรงหน้า อาซือหลานดีใจขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าที่นี่จะเปิดทำการอีกครั้ง

แม้ว่าเปลี่ยนมือเจ้าของแล้ว แต่ทางลับก็คงไม่ถูกปิดตายภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ เขาแวบร่างแล้วบินตรงเข้าไปทันที

บริกรชายที่คอยรินชาของเรือนจุ้ยหงกำลังยืนต้อนรับแขกที่หน้าประตู เห็นเพียงเงาสีขาวที่แวบหายไป แต่เมื่อหันหลังมามองก็ไม่เห็นคนแล้ว

เย่จิ่งอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป และทำมือส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาที่ปลอมตัวอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็รีบตามเข้าไป

ขณะนั้นเอง อินชิงเสวียนและไป๋เสวี่ยก็มาถึงหน้าประตู ด้านหลังตามมาด้วยฝูอี้อ๋องเย่จิ่งหลาน

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีมิติอยู่ จึงไม่ได้กลัวจะพบเจอกับอันตราย นี่ถือเป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือที่หาชมได้ยาก หากพลาดโอกาสไปแล้ว เช่นนั้นคงน่าเสียดายอย่างมาก

ไม่มีสายสลิง ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ เย่จิ่งหลานดูได้อย่างสะใจ

ไป๋เสวี่ยได้กลิ่นของเจ้าของ จึงรีบส่งเสียงร้องไปที่เรือนจุ้ยหง

บริกรชายจึงรีบขวางไว้ที่หน้าประตู

“คุณชายน้อยทั้งสอง พวกเราไม่อนุญาตให้นำสุนัขเข้าไป”

อินชิงเสวียนพูดเสียงเย็นชาว่า “วางใจได้ สุนัขของข้าค่อนข้างเชื่อฟัง ไม่กัดคนหรอกนะ”

พูดจบก็หยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาหนึ่งใบ และยัดใส่มือของบริกรชาย

สุนัขได้พุ่งตัวนำเข้าไปก่อนแล้ว บริกรชายจะไม่ให้เข้าไปก็ไม่ได้

ในระหว่างที่เขากำลังตะลึงงัน อินชิงเสวียนและเย่จิ่งหลานก็เบียดเข้าประตูอย่างรวดเร็ว

ทางเข้าหลักเป็นห้องรับแขกขนาดกว้างขวาง มีแท่นสูงคล้ายเวทีอยู่ตรงกลาง ผ้าโปร่งสีแดงที่แขวนอยู่รอบด้านพลิ้วไหว มีหญิงสาวสามคนกำลังเต้นรำอยู่บนนั้น มองดูสลัวๆ ผ่านผ้าม่านสีแดง ทำให้ผู้คนรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะเปิดออกดู

รอบด้านเต็มไปด้วยแขกที่เข้ามาชม และปรบมือเสียงดังตลอดเวลา

อินชิงเสวียนรีบกวาดสายตามอง และพูดกับเย่จิ่งหลานว่า “ข้าจะขึ้นไปดูด้านบน”

“ข้าไปด้วย”

เย่จิ่งหลานมาไนต์คลับยุคโบราณเป็นครั้งแรก ทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด

อินชิงเสวียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากเกิดการปะทะกันขึ้นมา ข้าอาจจะดูแลท่านไม่ได้นะ”

เย่จิ่งหลานทำมือโอเค

“วางใจเถอะ เรื่องต่อยตีข้าไม่ถนัด แต่เรื่องซ่อนตัวระดับเทพเชียวล่ะ”

อินชิงเสวียนเป็นห่วงเย่จิ่งอวี้ ไม่มีเวลาสนใจความปากดีของเขา จึงพยักหน้าและวิ่งขึ้นไปชั้นสอง

ผู้หญิงคนหนึ่งปล่อยผมยาวสีดำขลับ กำลังเดินลงมาจากด้านบน นางสวมชุดเปิดไหล่ มีเพียงผ้าโปร่งบางๆ คลุมเอาไว้ หน้าอกเปิดออกครึ่งหนึ่ง ท่าทางมีเสน่ห์ยั่วยวน

นางผู้นี้ก็คือเฟิงเอ้อเหนียง เจ้าของคนใหม่แห่งเรือนจุ้ยหง

เมื่อเห็นอินชิงเสวียน เฟิงเอ้อเหนียงก็รีบขวางนางไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวนว่า “คุณชายน้อย อย่าบุกรุกเข้ามาด้านในนะเจ้าคะ แม่หญิงทั้งหลายกำลังแต่งตัวอยู่เจ้าค่ะ”

อินชิงเสวียนจึงหยิบป้ายทองอาญาสิทธิ์ออกมา และพูดเสียงเบาว่า “คนใหญ่โตมีเรื่องต้องรีบจัดการ เจ้ารีบหลบทางให้ข้าเสีย”

นางผลักเฟิงเอ้อเหนียงออกและเดินขึ้นบันไดไป เฟิงเอ้อเหนียงคว้าแกคอเสื้อของอินชิงเสวียนเอาไว้

“คุณชายน้อย ท่านรีบร้อนเช่นนี้ เหล่าแม่หญิงคงไม่ยินยอมแน่”

ปานบนไหล่ของอินชิงเสวียนโผล่ออกมาให้เห็นในทันที เมื่อได้เห็นปานสีแดงนั้น เฟิงเอ้อเหนียงก็ชะงักด้วยความตกใจ อินชิงเสวียนจึงรีบสาวเท้าขึ้นชั้นบน

เย่จิ่งอวี้พูดเสียงขรึมว่า “ที่นี่มีเส้นทางลับอยู่ เขาหนีไปแล้ว ข้าแทงเขาไปหนึ่งครั้ง ถึงเขาจะไม่ตายแต่ก็บาดเจ็บสาหัสเอาการ สามารถให้เจวี๋ยอิ่งนำไป๋เสวี่ยสืบตามกลิ่นเลือดไป”

เย่จิ่งอวี้เป่าปากขึ้นฟ้า เจวี๋ยอิ่งจึงรีบนำองครักษ์หลายคนเดินเข้ามา

เฟิงเอ้อเหนียงตามมาด้านหลัง และพูดตำหนิด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “คุณชายทั้งหลาย พวกท่านมาทำอะไรกันที่นี่ ข้าเปิดร้านทำธุรกิจนะ ไม่ใช่สถานที่ให้ชาวยุทธภพมารบราฆ่าฟันกัน หากลูกค้าพบเห็นเข้า เช่นนั้นจะมีใครกล้ามาอีกเล่า”

เจวี๋ยอิ่งหยิบป้ายแขวนเอวของราชสำนักออกมา

ของสิ่งนี้มีผลดียิ่งกว่าป้ายทองอาญาสิทธิ์ของอินชิงเสวียนเสียอีก และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในกลุ่มชาวบ้าน

เฟิงเอ้อเหนียงหดคอกลับ และพูดด้วยความสั่นกลัว “ใต้เท้าทั้งหลายได้โปรดใจเย็นก่อน ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ แม้ข้าน้อยจะทำงานในเมืองหลวง แต่ข้ามีขั้นตอนการเปิดร้านทุกอย่าง หากใต้เท้าทั้งหลายไม่เชื่อ พวกท่านไปตรวจสอบอย่างละเอียดที่กรมพระคลังก็ย่อมได้เจ้าค่ะ”

เจวี๋ยอิ่งพูดเสียงเย็นชา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า พวกข้ามาที่นี่ก็เพราะมาสืบหาฆาตกร พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

เฟิงเอ้อเหนียงพยักหน้า และนำพนักงานชายสองคนเดินออกจากลานน้อยไป ก่อนที่นางจะออกไปนั้น นางหันหน้ากลับมามองอินชิงเสวียนอีกครั้ง

อินชิงเสวียนก็มองมาที่นางพอดี และรู้สึกว่าไม่มีความหวาดกลัวในสายตาของผู้หญิงคนนี้ ความตื่นตระหนกเมื่อครู่ เป็นเหมือนการแสดงออกมาเท่านั้น

ในระหว่างที่ครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงพูดของเจวี๋ยอิ่ง “กระหม่อมได้สั่งคนปิดล็อกประตูเมืองไว้หมดแล้ว รับรองว่าถึงพวกเขาติดปีกก็บินหนีไปไม่รอด”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “สืบหาต่อไป ไม่ว่าเป็นชาวตงหลิว หรือเป็นอาซือหลาน ก็ไม่ควรปล่อยไปเด็ดขาด หากพบเห็นให้รีบรายงานทันที”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปทำเดี๋ยวนี้”

เจวี๋ยอิ่งพูดจบก็มองไปที่ไป๋เสวี่ย อินชิงเสวียนจึงลูบที่หัวอันปุกปุยของไป๋เสวี่ยในทันที

“ตามไปเถอะ พวกเราจะตามหาคนเหล่านี้เจอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ หลังจากกลับมาที่ตำหนัก ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าดื่มน้ำจนพอใจเลย”

ไป๋เสวี่ยเห่าเสียงดังโฮ่งออกมาด้วยความดีใจ และออกไปในทันที

อินชิงเสวียนและคนอื่นๆ เตรียมจะออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ซึ่งดังออกมาจากห้องด้านข้าง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์