สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 590

ฝ่ามือทั้งสองประสานกันเสียงปัง พลังลมปราณไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย

อินชิงเสวียนยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้าโดยสัญชาตญาณ

ข้างหน้า ชายในชุดสีน้ำเงินและอา‍ซือ‍หลานต่างก้าวถอยหลัง

ทันใดนั้นสีหน้าของอา‍ซือ‍หลานก็เปลี่ยนไป จากนั้นหัวเราะเบาๆ

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่‍จิ่ง‍อวี้?”

ชายในเสื้อคลุมผ้าสีน้ำเงินไม่ได้สนใจอา‍ซือ‍หลาน เขาหันกลับมา มองสำรวจอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็ว

“เสวียน‍เอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

วันนี้ไม่มีธุระสำคัญ เย่‍จิ่ง‍อวี้จึงเลิกประชุมเร็ว เมื่อกลับมาที่ตำหนักจินหวูก็เห็นว่าอินชิงเสวียนไม่อยู่ที่นั่น จึงรู้ทันทีว่านางต้องมาถึงจวนฝูอี้อ๋องแล้ว

เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับนาง เขาจึงเร่งรุดมาทันที

โชคดีที่ยังไม่สายเกินไป!

เมื่อมองดูเรียวตาหงส์ที่เป็นห่วงเป็นใยคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงความหวานล้ำในใจ

“หม่อมฉันไม่เป็นไร”

อาซือหลานหงุดหงิดที่ถูกละเลยด้วยเช่นนี้ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนแสดงความรักลึกซึ้งต่อเย่‍จิ่ง‍อวี้ ความโกรธในใจก็ระเบิดออกมา

เขาหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ฮ่องเต้สุนัขแห่งต้าโจวช่างดีจริงๆ ในเมื่อเจ้ามารนหาที่ตายเอง ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ค่อยๆ หันหน้ากลับมา ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาทันที

“งั้นเจ้าก็คืออาซือหลาน?”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ไม่เคยพบกับอา‍ซือ‍หลานมาก่อน แต่เขารู้สึกว่าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าจะต้องเป็นเขาแน่ๆ

อา‍ซือ‍หลานก็ไม่ตอบเช่นกัน หุบพัดดังพรึ่บ แล้วก็วิ่งสวนเข้ามา

เย่‍จิ่ง‍อวี้ทำขยับหลีก หลบพัดของอา‍ซือ‍หลานได้ แล้วซักฝ่ามือกลับใส่เขา

อาซือหลานแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดกลไกบนด้ามจับพัด แล้วกระดูกพัดอีกสองอันก็พุ่งออกมา

“ถ้าเจ้ามีความสามารถเท่านี้ ก็ตายซะ”

“พูดมาก”

เย่‍จิ่ง‍อวี้ยกสองนิ้วขึ้น แล้วคีบกระดูกพัดเหล็กสองอันไว้ได้อย่างเหมาะเจาะ แล้วเตะข้อศอกของอา‍ซือ‍หลานด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด

อา‍ซือ‍หลานตกใจมาก

ไม่นึกว่าฮ่องเต้น้อยแห่งต้าโจวจะมีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เคยประเมินศัตรูต่ำเกินไป

“วันนี้ข้าอยากเห็นนัก ว่าเจ้ามีความสามารถเท่าใดกันเชียว”

อา‍ซือ‍หลานเก็บด้ามพับ แล้วดึงดาบออกจากเอว

ดาบเล่มนี้กว้างประมาณสามนิ้ว ใบมีดโค้งเหมือนกงล้อพระจันทร์ รูปร่างเป็นเอกลักษณ์ นี่เป็นครั้งแรกที่อา‍ซือ‍หลานใช้ดาบวงพระจันทร์ดำ

สิ่งนี้มีความเจ็บปวดและความทรงจำมากเกินไป ตอนที่ดาบถูกปลดออก ดวงตาของอา‍ซือ‍หลานฉายแววซับซ้อน แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป ก่อนที่แสงเย็นกระหายเลือดจะปรากฏขึ้นในแววตาแทน

เมื่อฮ่องเต้ออกจากวัง เป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องร้องขอ หากวันนี้เจ้าสามารถจัดการได้ในคราวเดียว ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าอินชิงเสวียนจะไปกับเขาหรือไม่

เย่‍จิ่ง‍อวี้ไม่ประมาท เขาค่อยๆ ดึงกระบี่ยาวออกมา กำลังภายในก็ไหลเวียนไปทั่วร่างทันที ทำให้ชายเสื้อที่ปักลายกิเลนสะบัดพลิ้ว ท่วงท่าองอาจสง่างามอย่างยิ่ง

เรียวตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย ภายในเงียบสงบราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง อันปราศจากระลอกคลื่นใดๆ แสดงให้เห็นอิริยาบถอันน่าครั่นคร้าม

เย่จิ่งหลานที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะดูด้วยความตื่นเต้น วรยุทธ์ที่เหคยเห็นก่อนหน้านี้ล้วนเป็นภาพที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ เป็นการใช้ลวดสลิง ซึ่งดูไม่สมจริงเลย

และคนสองคนตรงหน้าก็คือยอดฝีมือที่แท้จริง แม้แต่คนธรรมดาๆ เช่นเขา ก็สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่มองไม่เห็น

นี่อาจเป็นพลังชี่แท้ที่เขียนในนวนิยายกระมัง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้วรยุทธ์ ไม่เช่นนั้นเขาก็สามารถขึ้นไปแสดงฝีมือกับคนอื่นเขาได้บ้าง

เมื่อนึกถึงการเคลื่อนไหวที่ว่องไวของอินชิงเสวียนเมื่อครู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาริษยา

ต่างก็ข้ามมิติมาเหมือนกันแท้ๆ มีมิติส่วนตัวเหมือนกัน แต่ทำไมมิติของเขากับมิติของนางถึงต่างกันมากขนาดนี้

เสียงโลหะกระทบกันขัดจังหวะความคิดของเย่จิ่งหลาน

เย่‍จิ่ง‍อวี้จะไม่ปล่อยให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ

“เข้าไปรอข้าในมิติ อย่าวิ่งซน”

เสียงที่คุ้นเคยดังกระทบโสต จากนั้นทุกสิ่งรอบตัวก็ว่างเปล่า และเย่‍จิ่ง‍อวี้ก็ไล่ตามเขาไปแล้ว

“ฝ่าบาท อย่าไล่ตามโจรลำบากเลย”

อินชิงเสวียนตะโกนอย่างเร่งรีบ

ทว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้ได้หายไปแล้ว

ไม่ได้การแล้ว ฮ่องเต้น้อยถูกโจรชั่วอา‍ซือ‍หลานยั่วโมโหเข้าแล้วแน่ๆ

การคาดเดาของอินชิงเสวียนไม่ผิด เย่‍จิ่ง‍อวี้รู้สึกอิจฉา แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องติดตามไปเช่นนี้ เหตุผลที่เขาต้องการจับอา‍ซือ‍หลาน ก็เป็นเพราะเขาเห็นควันกำมะถัน

นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่า อาซือหลานเป็นผู้ที่ช่วยเหลือชาวตงหลิวเมื่อวานนี้ จึงมีแนวโน้มมากว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในป่า จึงตามมาจนถึงจวนฝูอี้อ๋องได้

ลำพังสองกลุ่มนี้ทำงานแยกกันก็จัดการลำบากมากอยู่แล้ว หากมารวมกลุ่มกันความวุ่นวายก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในเมื่อหาคนตงหลิวไม่พบ เช่นนั้นก็จับตัวอา‍ซือ‍หลานไว้ก่อน

เมื่อเห็นฝ่าบาทเหาะออกจากจวน องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ในตลาดก็ไล่ตามเขาไปทันที

อา‍ซือ‍หลานวิ่งไปพร้อมกับสาวใช้ที่ได้รับบาดเจ็บหลายคน

เดิมทีคิดว่าการจัดการกับฮ่องเต้แห่งต้าโจวเป็นเรื่องง่าย แต่คิดไม่ถึงว่าเย่‍จิ่ง‍อวี้จะมีวรยุทธ์ขั้นสูงเช่นนี้

เหมยเอ๋อร์ปิดแผลบนไหล่ แล้วถามอย่างเร่งด่วน “นายท่าน เราจะไปไหนกันดี”

อา‍ซือ‍หลานเหลือบมองคนเหล่านั้น แล้วพูดว่า “พวกเจ้าหนีไปก่อน ข้าจะจัดการกับเย่‍จิ่ง‍อวี้เอง”

หลังจากเหาะขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง เขาก็มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ควันกำมะถันถูกล่อยออกมา กลิ่นฉุนแสบจมูกลอยลงมาทันที

อาซือหลานถือตะบันไฟไว้ในมือ แล้วพูดด้วยเสียงอันเหี้ยมเกรียม “หากกล้าเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง ข้าจะระเบิดที่นี่ซะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์