อินชิงเสวียนกัดริมฝีปาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงพูดออกมาได้ยาก
ปลายลิ้นของเย่จิ่งอวี้สัมผัสที่ติ่งหูของนาง ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขาจรดที่ต้นคอของนาง ทำให้รู้สึกตื่นเต้น
“เสวียนเอ๋อร์ที่รัก เรียกข้าว่าอาอวี้สิ”
มือที่เย็นเล็กน้อยสอดเข้าไปใต้เสื้อผ้า และสัมผัสกับผิวหนังที่ร้อนเป็นไฟและคล้ายผ้าดิ้นที่อ่อนนุ่ม ทำให้อินชิงเสวียนสั่นสะท้าน
“อย่า...”
เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ นิ้วมือที่เรียวยาวเลื่อนขึ้นไปตามเอว
“เสวียนเอ๋อร์เขินอายงั้นหรือ?”
อินชิงเสวียนหันหน้าไปอีกด้าน และใบหน้ามีสีแดงสดใส
“น่าเกลียด อย่าได้ถามแบบนี้สิเพคะ”
“เช่นนั้นก็เรียกชื่อของข้าสิ”
เย่จิ่งอวี้ดึงเสื้อคลุมบนร่างกายออก นิ้วมือที่ปราดเปรียวปลดสายรัดเอวกระโปรงพับกลีบของอินชิงเสวียนออก
เสียงที่ทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความเย้ายวน
“ข้าอยากฟัง”
“ไม่เอา... อุบ...”
ร่างกายที่แนบชิดกันพอดีทำให้อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงคว้าไหล่ของเย่จิ่งอวี้อย่างอดไม่ได้
แต่เอวของนางกลับถูกแขนอันทรงพลังจับไว้แน่น
“ฟังข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้าแล้วนะ”
ร่างที่กดลงมาทำให้อินชิงเสวียนส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อย จึงทำได้เพียงร้องเสียงเบาว่า “อาอวี้”
เย่จิ่งอวี้พึงพอใจอย่างมาก แขนก็รัดแน่นมากขึ้น
“เสวียนเอ๋อร์คนดี ข้าไม่ยอมให้เจ้าเรียกชื่อของผู้อื่น เรียกชื่อข้าได้เพียงผู้เดียว”
อินชิงเสวียนอยากคัดค้าน หากไม่เรียกชื่อจะให้ขานนามอย่างไร จะให้นางอื้อๆ อ้าๆ นู่นๆ นี่ๆ อย่างนั้นหรือ แต่ว่านางยังไม่ทันได้ปริปากพูด ก็ถูกคลื่นแห่งกามอารมณ์ซัดสาดเข้ามา...
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ด้านนอกยังคงมืดครึ้ม
อินชิงเสวียนคิดว่าฟ้าเพิ่งสว่าง จึงหลับตาและนอนต่ออีกครู่หนึ่ง เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จึงพบว่าด้านนอกมีหิมะตกแล้ว
อวิ๋นฉ่ายและเสี่ยวอานจื่อกำลังพาจังอวี้จิ่นไปเล่นหิมะด้านนอก เสี่ยวหนานเฟิงถูกยายหลี่อุ้มไว้ มือเล็กโบกสะบัดไปมา ดูท่าทางแล้วเหมือนว่าอยากจะเข้าไปเล่นด้วย
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนผลักประตูออกมา อวิ๋นฉ่ายก็รีบวิ่งเข้ามา
“พระสนม ตื่นแล้วหรือเพคะ?”
อินชิงเสวียนบิดขี้เกียจ ปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว ราวกับชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
เห็นได้ชัดว่าร่างกายของผู้ที่ฝึกซ้อมการต่อสู้แข็งแกร่งอย่างมาก ราวกับว่ามีไตเพิ่มขึ้นมาหลายอัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เริงรักเมื่อคืนนี้ ใบหน้าของอินชิงเสวียนก็แดงขึ้นเล็กน้อย
กระแอมไอเสียงแห้งแล้วถามว่า “ตอนนี้เป็นเวลากี่ยามแล้ว?”
เสี่ยวอานจื่อพูดว่า “ทูลเหนียงเหนียง ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียงอยากกินอะไร หม่อมฉันจะให้ห้องพระเครื่องต้นทำให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ข้ากินอะไรง่ายๆ ก็พอ ให้จ้าวเอ๋อร์ลงไปเล่นด้วยกันสิ ถึงแม้ว่าหิมะจะตก แต่อากาศไม่ได้หนาวมากนัก”
อินชิงเสวียนรบกวนคนในวังน้อยครั้งมาก การทำงานรับใช้ที่ตำหนักของนาง เรียกได้ว่าเงียบสงบและสบายมาตลอด
เสี่ยวอานจื่อก็เคยชินแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก
ยายหลี่มองหิมะบนพื้นแล้วพูดว่า “เหนียงเหนียง องค์ชายน้อยจะไม่หนาวหรือเพคะ?”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปเอารองเท้าหนาๆ มาให้สักคู่หนึ่ง เด็กน้อยขยับตัวอยู่ตลอดเวลา คงไม่หนาวนักหรอก”
อินชิงเสวียนจึงไปแลกรองเท้าบูตกันหิมะพื้นนุ่มคู่หนึ่ง กางเกงผ้าฝ้ายขายาว พร้อมหมวกลายการ์ตูนที่ร้านค้าสะสมคะแนน และแลกหม้อไฟที่ทำความร้อนเองได้ รวมทั้งเนื้อสแปมและเส้นมันเทศ
อาหารชนิดนี้ทั้งอุ่นและอร่อยมาก อีกทั้งยังไม่ต้องรบกวนผู้อื่นด้วย แม้ว่าอินชิงเสวียนเคยชินกับชีวิตในวังแล้ว แต่ยังคงไม่ยอมให้คนจำนวนมากคอยรับใช้
เพราะแบบนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็นคนไร้ค่า และดูแลตัวเองไม่ได้
เสี่ยวหนานเฟิงสวมรองเท้าหนาคู่เล็กๆ และชุดหมีสีขาว พร้อมทั้งสวมหมวกที่เย็บเป็นหูสุนัข ตัวอ้วนๆ กลมๆ ไม่ต้องบอกเลยว่าน่ารักมากแค่ไหน
เจ้าเด็กอ้วนอดใจไม่ไหวอีกแล้ว เมื่อวางลงที่พื้นก็วิ่งโซเซไปด้านหน้าทันที
อินชิงเสวียนกลัวว่าพื้นจะลื่น และทำให้เสี่ยวหนานเฟิงหกล้ม จึงให้บ่าวนำรถฝึกเดินออกมา
อินชิงเสวียนเหลือบมองเย่ไห่ถัง และพูดในใจว่า ‘นางคงไม่ชอบพี่รองจอมซื่อบื้อนั่นจริงๆ หรอกนะ’
ดูเหมือนว่าเย่ไห่ถังจะไม่กล้าสบตากับนาง ก้มศีรษะลงและกินอย่างดุเดือด จนกระทั่งกินจนหมดเกลี้ยง จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “เสด็จพี่สะใภ้ ข้าคิดจะออกไปเที่ยวเล่นนอกวังอีก ท่านช่วยขอร้องเสด็จพี่ให้ข้าได้หรือไม่?”
“มีตำแหน่งเป็นถึงองค์หญิง แต่คิดจะออกไปเล่นสนุกนอกวังอยู่บ่อยๆ ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์เลยนะ?”
เสียงทุ้มต่ำที่น่าเกรงขามดังขึ้นมาจากด้านนอก เย่ไห่ถังจึงรีบลุกขึ้นยืน
“ถวายบังคมเสด็จพี่”
เย่จิ่งอวี้เดินเข้ามาจากด้านนอกประตู ดวงตาคมคู่หนึ่งกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวา เสื้อคลุมขนมิงค์เข้ากับรูปร่างที่สูงใหญ่ของเขา ทรงพลังและน่าเกรงขาม
เครื่องหน้าที่หล่อเหลาตึงเครียดเล็กน้อย ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวมีพลังอำนาจที่ดูน่าสะพรึงกลัว
อินชิงเสวียนมึนงงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ ยากที่จะเชื่อว่าผู้ชายที่แสนหล่อเหลาและเยือกเย็นตรงหน้า คือผู้ชายคนเดียวกันกับที่ขอร้องให้นางเรียกว่าอาอวี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ระหว่างที่ครุ่นคิด เย่ไห่ถังก็วิ่งเข้ามา และถอนชุดคลุมให้เย่จิ่งอวี้ด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“เสด็จพี่ ข้ายังไม่เคยเห็นหิมะที่ตกนอกวังเลยนะ ท่านให้ข้าออกไปดูกับเสด็จพี่สะใภ้นะเพคะ เสด็จพี่สะใภ้ก็ต้องไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษาหลวงพอดี พวกเราจะรีบกลับมาเลยนะเพคะ”
เย่จิ่งอวี้กางชุดคลุม และนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง
พูดเสียงเรียบว่า “ไม่ได้ กินของอร่อยเสร็จแล้วก็รีบกลับตำหนักไปเสีย”
“เสด็จพี่!”
เย่ไห่ถังพยายามใช้ลูกไม้ออดอ้อน แต่ถูกเย่จิ่งอวี้ผลักออกไป
“ไม่อนุญาตให้ทำตัวงี่เง่า ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับกุ้ยเฟย เจ้าออกไปก่อน”
“เสด็จพี่สะใภ้”
เย่ไห่ถังมองไปที่อินชิงเสวียนเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
อินชิงเสวียนส่ายหัวให้นาง ตอนนี้เป็นปีที่มีเรื่องมาก การพาองค์หญิงออกไปด้านนอกถือว่าไม่ปลอดภัยอย่างมาก นางมีความสามารถในการดูแบตัวเอง แต่กลับไม่มีความสามารถที่จะดูแลผู้อื่นได้
เมื่อเห็นว่าเย่ไห่ถังยังคงไม่ออกไป สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็นิ่งลงทันที
“หรือจะให้ข้าเป็นคนพาตัวเจ้าออกไปด้วยตัวเอง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...