อินชิงเสวียนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “พาไปเถอะ บางทีอาจจะมีประโยชน์บ้าง”
“ได้ เอาตามที่เจ้าว่า”
ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็คลานออกจากเตียง
“อากาศหนาวมากขนาดนี้ แม้แต่เครื่องทำความร้อนหรือเครื่องปรับอากาศก็ไม่มี แย่มากจริงๆ ที่เป่ยไห่คงไม่หนาวขนาดนี้นะ ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะหนาวตายก่อนที่จะไปถึงที่นั่นด้วยซ้ำ”
อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ พูดว่า “คงไม่หรอก หากทะเลเป่ยไห่เป็นน้ำแข็ง คนตงหลิวพวกนั้นคงไม่ต้องทุ่มเทความพยายามขนาดนี้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยขึ้นอีก
“เจ้าคิดว่าคนพวกนั้น ทำไมต้องมาที่จงหยวนด้วยล่ะ”
“ยังต้องถามอีกหรือ ไม่ได้ยินหวังซุ่นบอกหรือว่าเกาะของพวกเขาไม่ใหญ่ ต้องเป็นเพราะมีทรัพยากรน้อยเกินไป จึงต้องการขยายอาณาเขตมาถึงที่นี่ แต่ถ้าคนพวกนั้นเป็นวิชานินจากันหมด กลัวว่าจะจัดการไม่ง่าย”
เย่จิ่งหลานตบต้นขาด้วยสีหน้าเสียดาย แล้วพูดว่า “แม่งเอ๊ย ยังขาดการผ่าตัดที่สมบูรณ์แบบอีกครั้งหนึ่ง ข้าถึงจะแลกปืนได้ ถ้าพบคนป่วยหนักระหว่างทาง อย่าลืมให้เวลาข้าสักพัก ให้ข้าช่วยเหลือพวกเขาก่อนนะ”
อินชิงเสวียนตอบอืม แล้วก็นึกถึงคะแนนสะสมของตัวเอง
นานแล้วที่คะแนนสะสมไม่ได้พุ่งพรวด รอให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อน นางจะเข้าไปอยู่ในมิติสักสองวัน จะได้สำรวจอย่างละเอียด
ทั้งสองคุยสัพเพเหระกันอยู่พักหนึ่ง ซึ่งทำให้อินชิงเสวียนอารมณ์ดีขึ้นมาก เมื่อเห็นว่าใกล้จะมืดแล้ว นางก็ลุกขึ้นบอกลา และเดินทางกลับวัง
ทุกอย่างในวังยังคงเหมือนเดิม ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ จู่ๆ ไป๋เสวี่ยก็สงบเงียบลงมาก
นอนนิ่งอยู่ที่ประตูทั้งวัน มองออกไปข้างนอก กินอาหารน้อย แม้แต่น้ำพุวิญญาณก็ไม่ค่อยได้ดื่มมากนัก
ไป๋เสวี่ยฉลาดกว่าสุนัขทั่วไป คงเพราะรู้ว่าเย่จิ่งอวี้ถูกจับตัวไป หรือบางทีอาจรู้สึกผิด เพราะไม่ได้ปกป้องเจ้านายให้ดี
อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าจะปลอบมันอย่างไร ได้แต่เดินไปลูบหัวอันใหญ่โตของมัน
“อย่าคิดมาก ฝ่าบาทมีเทพมังกรคุ้มครอง ต้องไม่เผชิญกับเรื่องร้ายๆ แน่”
ไป๋เสวี่ยซุกหัวไว้ในอ้อมแขนของนางทันที ร้องครางเบาๆ ราวกับว่ากำลังสะอื้น
อินชิงเสวียนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ นางกอดไป๋เสวี่ยเอาไว้ และกระซิบข้างหูมัน “อีกไม่กี่วันเราก็จะไปตามหาเขากันแล้ว”
ไป๋เสวี่ยเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาสุนัขสีดำเบิกกว้าง มองอินชิงเสวียนอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ราวกับจะถามว่า นางพูดจริงหรือโกหก?
“ข้าไม่เคยโกหกสุนัข แต่เจ้าต้องรอข้าอีกสองวัน”
ไป๋เสวี่ยเห่าอย่างมีความสุขทันที วางอุ้งเท้าปุกปุยบนไหล่ของอินชิงเสวียน แล้วอ้าปากใหญ่เลียใบหน้าของนาง
อินชิงเสวียนรีบผลักไป๋เสวี่ยออกไป และตบหลังของมันอย่างแรง
“กินข้าวให้เยอะๆ ถึงตอนนั้นต้องหวังพึ่งเจ้าให้คอยปกป้องข้าและเสี่ยวหนานเฟิงแล้ว”
ไป๋เสวี่ยเห่าอย่างมีความสุข วิ่งเข้าไปในห้องโถงด้านขวา หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงเคี้ยวกร้วมๆ
แน่นอนว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ อินชิงเสวียนถอนหายใจ และกลับไปที่ห้องโถงกลาง
จังอวี้จิ่นกำลังยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นอินชิงเสวียน นางก็รีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ วันนี้องค์ชายน้อยเข้านอนเร็ว ยายหลี่ก็อยู่อยู่เฝ้าข้างในเพคะ”
“อื้อ ข้าจะไปดูหน่อย”
ทันทีที่เข้าไปในประตู ก็เห็นเสี่ยวหนานเฟิงกอดตุ๊กตาหมีอยู่
มือเล็กป้อมกอดคอหมีน้อยไว้แน่น ราวกับว่าเป็นเพื่อนตัวน้อยของเขา
ใบหน้าเล็กๆ ที่หลับอยู่มีสีชมพูนุ่มนิ่ม บางครั้งก็ขยับปากเล็กๆ เหมือนว่ากำลังดูดนม
ข้างเตียงมีเตาถ่านอยู่สองเตา พอเข้าไปใกล้ก็มีลมร้อนพัดมาปะทะหน้า เสี่ยวหนานเฟิงก็ดูจะร้อนนิดหน่อย เท้าเล็กจ้อยเตะชายผ้าห่มออก เผยให้เห็นน่องป้อมๆ ดูน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ
อินชิงเสวียนเอื้อมมือออกไปแตะเบาๆ ดูเหมือนว่าตัวของเด็กจะร้อนจริงๆ
ตัวอักษรคำว่าหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ถูกสลักไว้ด้วยหมึกสีดำ
ลายพู่กันกระฉับกระเฉงทรงพลัง ลายเส้นแข็งแกร่ง
คนผู้นั้นเหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วถือถุงผ้าสีดำเร้นกายเหาะเข้าไปในหอ
เมื่อมาถึงห้อง คนผู้นั้นก็ถอดหน้ากากสีดำ ออกเผยให้เห็นใบหน้าซูบตอบ
ชายคนนี้อายุราวๆ เจ็บสิบปี มีหนวดเคราสีขาว เส้นผมสีขาว เมื่อประกอบกับแขนเสื้อกว้าง ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนเทพเซียนอมตะ
เขาเปิดถุง แล้วโยนคนที่อยู่ข้างในลงไปที่พื้นอย่างป่าเถื่อน
ชายผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงบาง ซึ่งเขากก็คือฮ่องเต้คนปัจจุบันเย่จิ่งอวี้
เขาถูกชายชราจี้สกัดจุดไว้ เวลานี้กำลังหลับใหล ภายใต้แสงสลัว ยิ่งขับเน้นให้เห็นใบหน้าคมสันชัดเจนยิ่งขึ้น
ชายชรามองเขาด้วยสายตาเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
จากนั้นก็เปิดประตู แล้วเดินเข้าไปในอีกห้องหนึ่งที่สว่างไสวด้วยแสงเทียน
บนเก้าอี้ตัวยาวมีหญิงวัยกลางคนหน้าตาสวยงามนอนอยู่ ดวงตาของนางปิดสนิท สีหน้าซีดเซียว หากไม่เห็นว่าหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ก็แทบดูไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่
สตรีสองคนยืนถือกระบี่เฝ้าอยู่ข้างเตียงอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นชายชราก็โค้งคำนับ
“น้อมคำนับเจ้าสำนัก”
ชายชราพยักหน้าเบาๆ เนื่องจากการเดินทางมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เสียงของเขาแหบแห้ง ดวงตาที่จมลึกไม่สามารถปกปิดความเหนื่อยล้าได้
“หวนเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
สตรีทางด้านซ้ายก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ผู้คุมตราไม่ตื่นขึ้นมาเลย สองวันนี้ลมปราณอ่อนลงเรื่อยๆ เจ้าค่ะ”
ชายชรายื่นมือออกไปตรวจชีพจร คิ้วสีขาวทั้งคู่ก็ขมวดมุ่นทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...