“ทำไมน้องหญิงใหญ่ถึงมองที่นี่แบบนี้ล่ะ”
อินปู้อวี่ยังหนุ่มยังแน่น เพียงไม่นานก็ทำความสะอาดหิมะข้างหลุมศพได้พอสมควรแล้ว
เมื่อเห็นอินชิงเสวียนจ้องมองที่หลุมศพ นางก็ถามอย่างไม่เข้าใจ
อินชิงเสวียนอึกอัก และพูดว่า “ในหลุมศพของท่านแม่...มีเพียงร่างเท่านั้นหรือ”
อินปู้อวี่โพล่งตอบมาง่ายๆ “ใช่สิ ท่านพ่อเราเป็นขุนนางสุจริต จะมีทรัพย์สมบัติมากมายฝังไปพร้อมกับท่านแม่ได้อย่างไร”
อินชิงเสวียนหน้าแดง แม้ว่านางจะรู้ว่าอินปู้อวี่ไม่มีเจตนาอื่นใด แต่นางก็ยังคงรู้สึกผิด ราวกับว่าตัวเองมีเจตนาซ่อนเร้น
อินปู้อวี่ส่งพลั่วเหล็กกลับคืน
“น้องหญิงใหญ่เอากลับไปสิ”
“ไม่ต้องหรอก พี่รองเก็บไว้เถอะ ไม่ใช่ของมีค่าอะไร ไม่มีเหล็กมากมายเพียงนั้น ไม่นับวาเป็นของที่แอบมีไว้ในครอบครอง”
“ได้จริงหรือ”
อินปู้อวี่ชอบพลั่วเหล็กนี้มาก ใช้ของสิ่งนี้ตักหิมะ ง่ายกว่าใช้ไม้ตักหิมะมาก
“อืม”
เมื่อมองไปยังอินปู้อวี่ที่ดูเซ่อซ่า อินชิงเสวียนก็ยิ้ม แล้วขึ้นไปบนหลังม้า
ครั้นแล้วสองพี่น้องก็เดินออกมาจากตรอกเส้นเล็ก และเดินตามผู้คนที่หลั่งไหลเข้าไปในประตูเมือง
พอมาถึงประตูจวนตระกูลอิน อินชิงเสวียนก็หยุดม้า
อินปู้อวี่ถาม “น้องหญิงใหญ่ไม่กลับไปนั่งที่บ้านก่อนหรือ”
“ไม่ล่ะ นี่ก็ออกมาข้างนอกมาได้สักพักแล้ว ข้าคิดถึงจ้าวเอ๋อร์ ต้องกลับไปหน่อย”
“งั้นข้าจะไปส่งเจ้ากลับวัง”
อินปู้อวี่หันหัวม้าทันที
อินชิงเสวียนปฏิเสธอย่างอ้อมๆ “ไม่ต้องหรอก ข้ายังอยากไปทำธุระอีกหน่อย พี่รองกลับเถอะเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปคนเดียวได้หรือ”
อินปู้อวี่ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
พี่ชายทั้งสองคนของตระกูลอินล้วนเอาใจใส่น้องสาวของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งข้อนี้ทำให้อินชิงเสวียนซาบซึ้งใจมาก
“ฟ้ายังสว่างโร่อยู่เลย อีกอย่างข้าก็มีวรยุทธ์ พี่รองไม่ต้องห่วง บอกท่านแม่รองแทนข้าด้วย ว่าพรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งสินค้ามา คาดว่าสองร้านนั้น วันพรุ่งนี้ก็คงเกือบเสร็จแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินน้องหญิงใหญ่พูดเช่นนี้ อินปู้อวี่ก็ไม่บังคับอีก
“ได้ ข้าจะบอกท่านแม่รองเดี๋ยวนี้”
อินชิงเสวียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“เข้าไปเถอะ”
หลังจากพูดจบก็หันหัวม้า ตรงไปที่จวนฝูอี้อ๋อง
เย่จิ่งหลานนอนอยู่บนเตียง โดยมีนิยายอยู่ในมือ และมีขนมกับผลไม้อยู่ข้างๆ เขาอ่านหนังสือไปด้วยกินของว่างไปด้วย ดูก็รู้ว่าสุขสบายเพียงใด
เมื่อเห็นอินชิงเสวียน เขาหาวแล้วพูดว่า “อากาศหนาวขนาดนี้ เจ้าไม่อยู่ในวังดีๆ ออกมาทำอะไรที่นี่”
“อยู่ไม่ได้ จิตใจสับสนวุ่นวาย ก็เลยออกมาเดินเล่นหน่อย”
อินชิงเสวียนหยิบแอปเปิลใส่ปาก แล้วกัดๆ เข้าไปสองคำเหมือนว่านางกำลังระบายอารมณ์อยู่
ต่อหน้าเย่จิ่งหลาน นางไม่จำเป็นต้องซ่อนความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งการเป็นแบบนี้ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมาก
เย่จิ่งหลานหาว วางหนังสือลง อินชิงเสวียนจึงถือโอกาสดูชื่อหนังสือ สาวแม่ม่ายในชนบท ช่างเป็นหนังสือที่ผู้ชายชอบอ่านจริงๆ
“เจ้ามีแผนจะออกเดินทางเมื่อไหร่”
เย่จิ่งหลานไม่ได้จะลุกขึ้น แต่กลับห่อตัวลงบนเตียงแทน
“รออีกสองวันก่อน ใกล้ถึงวันครบรอบการเสียชีวิตของแม่ของอินชิงเสวียน ในเมื่อใกล้ถึงวันแล้ว คงไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”
อินชิงเสวียนกลอกตามองเขาแล้วพูดว่า “เจ้ามีมิติ ยังต้องใช้ถุงนอนอะไรอีกล่ะ พาเจ้าไปด้วย แค่เจ้าเข้าไปในมิติก็พอแล้ว”
“มันก็ไม่สนุกน่ะสิ อุตส่าห์ได้ออกไปเที่ยวสักครั้ง ทำไมต้องมีพิธีรีตองด้วย”
หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบ จู่ๆ ก็ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าตามหาเย่จิ่งอวี้ไม่เจอ เจ้าจะทำอย่างไรต่อ จะให้เย่จั้นเป็นฮ่องเต้ต่อไป หรือให้จ้าวเอ๋อร์ของเจ้าขึ้นครองบัลลังก์? ช่วงที่เจ้าจากไป เย่จั้นจะมีความคิดอื่นไหม”
อินชิงเสวียนกำลังจะกัดแอปเปิล แต่เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ก็หยุดชะงัก
ปัญหาเหล่านี้นางไม่เคยนึกถึงมาก่อน นางเชื่อใจเย่จั้น จึงไม่เคยคิดว่าเขาจะแย่งชิงบัลลังก์ นางยังเชื่อว่าตัวเองสามารถตามจนพบเย่จิ่งอวี้ได้
หลังจากฟังคำพูดของเย่จิ่งหลานแล้ว อินชิงเสวียนก็ตระหนักว่าตัวเองคิดว่าทุกอย่างง่ายเกินไป
เย่จิ่งหลานกล่าวเสริมว่า “เย่จั้นมีทหารและม้ามากมาย ค่อนข้างมีชื่อเสียงในราชสำนัก ตอนนี้ที่เย่จิ่งเย่าตายแล้ว แม้ว่าตระกูลอินจะได้รับอำนาจทางทหารกลับคืนมา แต่เมื่อผ่านการเนรเทศมาตลอดปี ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ลำพังแค่พวกเจ้าครอบครัวเดียว จะให้จ้าวเอ๋อร์ขึ้นครองบัลลังก์เกรงว่าคงไม่ง่าย”
อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปาก วางแอปเปิลที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งลงบนโต๊ะ
“ข้าเชื่อใจเย่จั้น เขาคงไม่ใช่คนประเภทฉวยโอกาสจากผู้อื่น”
เย่จิ่งหลานพูดด้วยท่าทีดูถูกเหยียดหยาม “เจ้าเชื่อใจจะใช้ได้ที่ไหนกัน ที่เรียกว่าราตรียาวนาน ความฝันอันมากหลาย เจ้าไม่รู้จักหรือ คนเมื่ออยู่ในตำแหน่งสูงเป็นเวลานาน จะกลับมาคุ้นเคยในตำแหน่งเดิมได้หรือ”
“นี่...”
อินชิงเสวียนสะอึกกะทันหัน
“ถ้าอยากจะรักษาฐานะของจ้าวเอ๋อร์ไว้ เจ้าต้องตีสนิทขุนนางสำคัญๆ ไว้หลายคน ถึงเวลานั้นจะได้มีสิทธิมีเสียงในราชสำนัก ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของเรา ข้าคงไม่กังวลเรื่องนี้แทนหรอก”
อินชิงเสวียนก็รู้ว่าเย่จิ่งหลานคิดเผื่อตัวเอง แต่นางกำลังจะจากไป หากนางไปเยี่ยมขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก เย่จั้นจะสามารถเดาความคิดได้อย่างแน่นอน ดีไม่ดีจะยิ่งกลายเป็นการกบฏ
หากเขาต้องการก่อกบฏจริงๆ แค่พึ่งพาขุนนางคำสำคัญแค่ไม่กี่คน ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ตอนนี้ทำได้แค่เดิมพันเท่านั้น
แต่กลับตอบว่า “ข้ารู้แล้ว วันนี้ข้าก็ไปพบกับจอมพลเฒ่ากวนแล้ว ใต้เท้าจากกรมโยธาและกรมพระคลังทั้งสองท่านก็พูดคุยกันได้ เมื่อรวมกับตระกูลอินแล้ว ก็มีสิทธิมีเสียงอยู่พอสมควร”
เย่จิ่งหลานพูดอย่างพึงพอใจ “ก็ใช้ได้อยู่ แต่ต้องระวังหน่อย เมื่อเจ้าได้เป็นไทเฮา ข้าจะได้เสวยสุขกับวาสนาของเจ้าสักหลายๆ วัน”
ใบหน้าของอินชิงเสวียนบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง เย่จิ่งหลานก็รู้ว่าตัวเองพูดผิด เขาไอแห้งๆ และเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องอื่น
“หวังซุ่นล่ะ เจ้าตั้งใจจะให้เขาไปด้วยหรือเปล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...