สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 651

อินสิงอวิ๋นพยักหน้า

“ขอบพระคุณท่านพ่อ”

อินจ้งตอบรับ และพูดต่อว่า “การสมรสครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การแต่งงานของพวกเจ้าสองคน แต่ยังเป็นงานใหญ่ของประเทศชาติ หวังว่าพวกเจ้าสองคนจะสามารถเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างต้าโจวและเจียงวู ทำเพื่อประชาชนของสองอาณาจักร กำจัดความทุกข์ยากของสงคราม”

เป่าเล่อเอ่อร์เดินลงมาจากเก้าอี้ในทันที และกล่าวอวยพรแก่อินจ้ง

“ใต้เท้าอินวางใจได้เจ้าค่ะ เป่าเล่อเอ่อร์ได้เขียนจดหมายให้แก่พี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่ไม่เคยสนับสนุนการทำสงคราม หากสองกองทัพระงับการใช้อาวุธต่อกันได้ พี่ใหญ่จะต้องดีใจอย่างมากเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็ดี”

อินจ้งหลือบมองผ้าปูที่อยู่บนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถะ ข้าไปห้องหนังสือก่อนล่ะ”

ในขณะเดียวกันนั้นเอง เย่จั้นที่สวมชุดคลุมมังกรก็มาถึงตำหนักจินหวูเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนไปแล้ว เขาทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจ

ทั้งเฝ้ารอให้อินชิงเสวียนสามารถสืบรู้ข่าวคราวของเย่จิ่งอวี้โดยเร็ว แต่ก็กลัวว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่ดี

ยิ่งไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ถูกหรือผิดกันแน่ หากเกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดต่ออินชิงเสวียน เช่นนั้นควรทำอย่างไร?

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเรื่องที่แน่นอนแล้วและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ต่อให้พูดอะไรก็คงสายไปแล้ว หวังเพียงว่าสวรรค์จะมีตา สามารถให้สามีภรรยาคู่นี้พบกันโดยไว และกลับมาโดยสวัสดิภาพ

ในระหว่างที่เย่จั้นครุ่นคิด ทางด้านเป่ยไห่ก็เกิดอุบัติภัยขึ้นบ้างแล้ว

เจ้าแห่งสำนักเซียวเหยาถูกคนลอบโจมตี ข่าวนี้เปิดฉากความโกลาหลใหญ่โตในทันที

การอยู่ท่ามกลางยุทธจักร แม้ว่าสำนักเซียวเหยาจะถูกคนประณาม แต่ก็มีส่วนร่วมในการทำสงครามที่เป่ยไห่มาโดยตลอด และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้สำนักนอกรีตผิดแปลกเช่นนี้ สามารถมีบทบาทในยุทธจักรได้

อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เจ้าสำนักเซียวเหยามีวิทยายุทธ์สูงส่ง เคยจับเป็นหัวหน้าผู้นำของฝ่ายศัตรูได้ วิชาตัวเบาก็ยิ่งมีความสามารถโดดเด่นเหนือใคร ทำให้ผู้อื่นเทียบฝีมือไม่ติด

บุคคลเช่นนี้ กลับถูกคนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวในทันที แต่ละสำนักระดมยอดฝีมืออย่างเร่งด่วนเพื่อจัดตั้งกองลาดตระเวนชั่วคราว ลาดตระเวนริมชายฝั่งของเป่ยไห่ตลอดวันคืน ทันทีที่สืบหาสายลับพบก็สังหารในทันที

และเย่จิ่งอวี้ก็หายตัวไปจากที่นี่ เจ้าสำนักเซี่ยวแทบพลิกแผ่นดินริมชายฝั่งของเป่ยไห่ แต่ก็ไม่สามารถตามหาใครพบ

เมื่อเห็นเซี่ยวอิ๋นหวนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย เจ้าสำนักเซี่ยวใจร้อนดุจไฟไหม้อย่างอดไม่ได้

ซื่อเมี่ยวอินกอดฉินเซ่อผีผา คุกเข่าลงบนพื้น และพูดขึ้นพร้อมกันว่า “เจ้าสำนักวางใจได้ พวกข้าจะต้องตามหาคนคนนี้ให้พบ”

ฮวาเชียนที่อยู่ด้านข้างลังเลชั่วครู่ เดินหน้าหนึ่งก้าวและพูดว่า “เจ้าสำนัก หรือว่าอวี้เอ๋อร์อาจจะกลับไปถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าคะ?”

วิทยายุทธ์ของเย่จิ่งอวี้สืบทอดมาจากศิษย์พี่อวี้เซียว ซึ่งเป็นศิษย์เหนืออาจารย์มานานแล้ว และไม่ได้เป็นรองลูกศิษย์ทั่วไปของสำนักเลย

เจ้าสำนักเซี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อาจไม่มีทางเป็นไปได้ สองวันนี้ยังไม่ได้ยินว่ามีศิษย์จากสำนักไหนถูกโจมตี ไอ้สารเลวนี้ยังต้องอยู่ที่ริมชายฝั่งของเป่ยไห่แน่นอน”

“เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น เอาเป็นว่า... ข้าน้อยจะไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง”

ฮวาเชียนรับใช้เซี่ยวอิ๋นหวนมาตั้งแต่ยังเด็ก ความเป็นห่วงที่นางมีต่อเซี่ยวอิ๋นหวนไม่ได้น้อยไปกว่าเจ้าสำนักเลย

เจ้าสำนักเซี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดเสียงเข้มว่า “ในเมื่อเจ้ายินยอมที่จะไปอีกครั้ง เช่นนั้นก็รีบเคลื่อนตัวเสีย หากไอ้สารเลวนั่นกลับถึงเมืองหลวงแล้วจริงๆ เจ้าก็ทำลายวิทยายุทธ์ของเขาทิ้ง และพาเขากลับมาที่นี่ หรือหักขาสองข้างของเขาเพื่อไม่ให้หนีได้อีก”

“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง”

ฮวาเชียนพูดจบก็รีบสาวเท้าเดินออกไป

เจ้าสำนักเซี่ยวโบกมือ เพื่อบอกให้ซื่อเมี่ยวอินลุกขึ้น

“ตอนนี้เจ้าสำนักเซียวเหยาถูกโจมตี จะต้องมียอดฝีมือตงหลิวเข้ามาปะปนที่ริมชายฝั่งของเป่ยไห่ พวกเจ้าต้องทำการด้วยความระวังมากขึ้น ห้ามอยู่เพียงลำพังโดยเด็ดขาด”

ผู้หญิงทั้งสี่โน้มตัวและพูดว่า “เจ้าค่ะ พวกข้าน้อยจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเจ้าสำนัก”

“ตอนนี้ควรต่อต้านศัตรูไว้ก่อน เชื่อว่าเจ้าสำนักเซี่ยวจะต้องคิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดของคนเหล่านี้ เจ้าสำนักเซี่ยวก็ขมวดคิ้วและพูดเสียงเยือกเย็นว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อาจตัดใจได้ แต่ความจริงเป็นเพราะว่าพิณการเวกจะแสดงอำนาจที่น่าเกรงขามได้ยากเมื่ออยู่ในมือของผู้อื่น อีกทั้งทุกท่านก็ไม่เข้าใจในสัมผัสแห่งเสียง แม้จะได้พิณการเวกไป ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ใช้งาน”

ซูถูหัวเราะเหอะๆ และพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพวกข้ามาขอพิณถึงที่นี่ ก็หมายความว่าสามารถหาผู้ปราดเปรื่องในสัมผัสแห่งเสียงได้ ขอเพียงเจ้าสำนักเซี่ยวเห็นด้วย พวกเราย่อมหาทางออกในเรื่องอื่นได้”

สีหน้าของเจ้าสำนักเซี่ยวก็เยือกเย็นมากขึ้นอีก

มีข่าวลือในยุทธภพว่าหลี่เฟิ่งอี๋เป็นผู้ประดิษฐ์พิณตัวนี้ขึ้นมา แต่ความจริงเป็นสมบัติล้ำค่าของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ จะมอบให้ผู้อื่นได้ง่ายๆ อย่างไรกัน?

เพราะว่าหลี่เฟิ่งอี๋ชอบพิณตัวนี้ อีกทั้งยังบรรเลงเพลงพิณได้อย่างลึกซึ้ง ตอนที่นางลงจากเขา เจ้าสำนักเซี่ยวจึงมอบพิณนี้ให้แก่นาง

เงื่อนไขเพียงอย่างเดียวก็คือ หากชาวตงหลิวมายังเป่ยไห่ หลี่เฟิ่งอี๋จะต้องกลับมาป้องกันศัตรู

ไม่คาดคิดว่าหลี่เฟิ่งอี๋จะเสียชีวิตการจากให้กำเนิดลูก พิณนี้จึงตกอยู่ในมือของปรมาจารย์ดาบอย่างลิ่นเซียว จึงทำให้เซี่ยวอิ๋นหวนต้องออกจากหุบเขาไปตามหาพิณ

ตอนนี้คนเหล่านี้เปิดปากขอพิณ เจ้าสำนักเซี่ยวไม่มีทางรับปากอย่างแน่นอน

“พิณตัวนี้เป็นถึงสิ่งของของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ข้าคงไม่อาจทำตามคำสั่งได้”

ซูถูถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกข้าก็รู้แก่ใจว่าเรื่องนี้ไม่อาจฝืนใจคนได้ เพียงแต่สงครามครั้งใหญ่กำลังมาถึง ขอให้เจ้าสำนักเซี่ยวมองผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ และมอบพิณให้พวกเราได้ยืมใช้ก่อน”

หากให้ยืมพิณการเวก มันจะไม่ได้คืนอย่างแน่นอน ซูถูหาสารพัดเหตุผลมาอ้างเป็นแน่

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้รับผลประโยชน์จากสำนักต่างๆ ในนามของความชอบธรรม เจ้าสำนักเซี่ยวรู้จักเขามาหลายสิบปีแล้ว รู้ดีว่าเขามีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร

เจ้าสำนักเซี่ยวระงับความโกรธเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อีกไม่กี่วันอิ๋นหวนก็จะฟื้นขึ้นมาแล้ว หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จะใช้พิณปราบโจรด้วยตัวเอง และไม่มีความจำเป็นต้องรบกวนทุกท่าน ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ขออภัยที่ไม่อาจอยู่สนทนากับพวกท่านได้ ใครก็ได้มาส่งแขกด้วย”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์