สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 652

สีหน้าของซูถูก็ดูแย่เล็กน้อย

“เจ้าสำนักเซี่ยวจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ หากชาวตงหลิวเข้าน่านน้ำทะเลมาเป็นจำนวนมาก ท่านและข้าจะต้องรับมือไม่ทันแน่นอน ควรระมัดระวังไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น”

เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเรียบว่า “ริมชายฝั่งของเป่ยไห่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งสำนักนิกายเดียว ผู้อาวุโสซูพูดออกมาเช่นนี้ หมายความว่านอกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ของข้า ก็ไร้ผู้ที่สามารถสกัดกั้นตงหลิวได้อีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าขอตัวก่อน!”

เจ้าสำนักเซี่ยวพูดจบก็ใช้วิชาตัวเบา และออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไป

คนเหล่านี้ไม่อาจแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งได้ แม้ว่าพวกเขาต้องการแย่งชิงไปให้ได้ ก็ไม่สามารถหาเจอว่าพิณอยู่ที่ใด ตอนนี้จำเป็นต้องไปพบหมอเทวดาหนิงอีกครั้ง เพื่อดูว่านอกจากเย่จิ่งอวี้แล้ว ยังสามารถหาทางออกอื่นในการรักษาเซี่ยวอิ๋นหวนได้อีกหรือไม่

ซูถูและคนอื่นๆ ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่กลางลานบ้านครู่หนึ่ง และก็จากไปเช่นกัน

ในเวลาเช่นนี้ หากพวกเขาลงมือก็จะกลายเป็นเป้าที่ประชาชนทั่วไปโจมตีอย่างแน่นอน

แต่จะต้องเอาพิณการเวกตัวนี้มาให้ได้ หากอาวุธทำลายล้างขนาดใหญ่

เช่นนี้ยังคงอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่แน่

คนอื่นก็มีความคิดเห็นแบบนี้เช่นกัน แม้ว่าทุกคนล้วนเป็นชาวยุทธภพ แต่เมื่อเห็นของมีค่า ก็อาจเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้รับผลประโยชน์ ก็ไม่สามารถเก็บของสิ่งนี้ไว้ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ได้

ทุกคนจึงไปโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ลูกจ้างที่พกมีดก็เข้ามาต้อนรับในทันที

ในเวลานี้ ชาวบ้านทั่วไปแทบหนีออกไปหมดแล้ว ผู้ที่เปิดโรงเตี๊ยมในสถานที่แห่งนี้ล้วนเป็นชาวยุทธภพทั้งนั้น

มีคนที่ต้องการมาก่อร่างสร้างตัวที่นี่ และก็มีทั้งคนที่ต้องการมาที่นี่เพื่อขอแบ่งผลประโยชน์ บางคนที่มีวิทยายุทธ์ต่ำต้อยกลับอยากมีลาภลอยก้อนโต เรียกได้ว่ามีทั้งสามลัทธิและเก้าสาขาอาชีพ มีทั้งคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกันอยู่ที่นี่

ทุกคนมายังชั้นสองที่เงียบสงบ สั่งเนื้อวัวห้าจานและเหล้าอย่างดีสองไห พลางดื่มกันไปและพูดคุยกันไปด้วย

ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนราวกับพระสังขจาย พูดด้วยสีหน้าเศร้าใจว่า “ไม่คิดว่าเจ้าสำนักเซี่ยวจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้ถึงขนาดนี้”

อีกคนพูดด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวว่า “เป็นจริงดังนั้น ผู้เฒ่าเซี่ยวเฉยเมยต่ออันตรายของใต้หล้า เพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง

ผู้คนแห่งหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีดีอะไรเลยจริงๆ เมื่อนึกถึงผู้เฒ่าที่สวมหน้ากากคนนั้น ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยแววตาที่เย็นชา

ความแค้นจากการบีบบังคับ เย่จิ่งอวี้จะคืนให้เป็นสองเท่าแน่นอน

วันที่เขาหนีออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีเขาต้องการหนีออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด น่าเสียดายที่เป่ยไห่เพิ่มการป้องกันอย่างกะทันหัน เพิ่มจำนวนคนลาดตระเวนยามค่ำคืน

เย่จิ่งอวี้กลัวว่าการผ่านด่านไปอย่างลวกๆ จะทำให้หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ต้องแตกตื่น จึงได้เปลี่ยนการแต่งตัวและพักอยู่ที่นี่

ปรากฏว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุด ก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ค่อนข้างใกล้หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่มีคนมาค้นหา

ในเมื่อยังออกไปไม่ได้ในตอนนี้ จึงคิดสร้างเรื่องให้แก่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์สักเล็กน้อย แล้วค่อยหาโอกาสหนีไป

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ยกยิ้มที่มุมปาก และดื่มเหล้าในแก้วหมดในอึกเดียว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์