สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 665

ผีแคระนั่นก็ว่องไวมากเช่นกัน กระโดดขึ้นสูงจากพื้นระยะสามจ้าง และฟาดฝ่ามือไปที่เย่จิ่งอวี้

ฝ่ามือขนาดใหญ่พัดกรรโชกเข้ามา เย่จิ่งอวี้ตกใจเล็กน้อย ผีแคระเหล่านี้มีความสามารถไม่แพ้กันเลย

บูม

มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น พัดฝุ่นดินตลบ ทั้งสองต่างถอยคนละหนึ่งก้าว

ผีแคระด่าออกมาหนึ่งคำด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ จากนั้นก็โบกฝ่ามือโจมตีเย่จิ่งอวี้อีกครั้ง

ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็ต่อสู้กับผีแคระที่เหลือเหล่านั้น เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีลูกศิษย์หลายคนล้มลงบนพื้น

เย่จิ่งอวี้กวาดสายตามอง และเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ผีแคระเหล่านี้ช่ำชองการโจมตีเป็นกลุ่ม โดยปกแล้วเป็นการต่อสู้แบบสามรุมหนึ่ง อีกคนหนึ่งเดินไปรอบๆ เพื่อต้านการเข้ามาปะทะของพวกลูกศิษย์

จึงพูดตะโกนทันทีว่า “อย่าแยกจากกัน คนเหล่านี้ช่ำชองการโจมตีเป็นกลุ่ม”

ระหว่างที่พูดก็มีอีกหลายคนล้มลงบนพื้น

ผีแคระคนหนึ่งส่งเสียงหัวเราะร่าดังออกมา ระหว่างสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก ใช้ภาษาดินแดนจงหยวนพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ไอ้โง่”

สายตาของเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นทันที

“รนหาที่ตาย”

เขาชักดาบยาวข้างเอวออกมา เมื่อขยับข้อมือก็มีเสียงมังกรขับขานดังพุ่งออกมาจากคมดาบ

ผีแคระตงหลิวเห็นว่าเขาพอมีความสามารถอยู่บ้าง จึงใช้วิธีการเดิมซ้ำทันที และเริ่มการโจมตีแบบกลุ่มอีกครั้ง

เย่จิ่งอวี้แช่น้ำพุวิญญาณมาก่อน และดื่มน้ำพุวิญญาณมาโดยตลอด กำลังภายในจึงไม่อาจเทียบได้กับลูกศิษย์ทั่วไป อีกทั้งเขายังฝึกซ้อมกระบวนท่าที่ท่านอาจารย์สอนเขามาโดยตลอด ตอนนี้ความรู้และฝีมืออยู่ในระดับสุดยอดแล้ว

ดาบยาวหนึ่งเล่มว่องไวราวกับสายฟ้า ตาข่ายดาบถี่ยิบถูกถักทออยู่ตรงหน้า พวกผีแคระหาช่องโหว่ไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ จึงหยุดชะงักลงทันที

ผีแคระที่อยู่ข้างๆ หลายคนได้จัดการกับพวกลูกศิษย์ที่ลาดตระเวนเกือบหมดแล้ว จึงถาโถมเข้ามารอบตัวเย่จิ่งอวี้

“ไอ้โง่”

“ไปตายซะ!”

“สะใจ สะใจโว้ย”

เสียงแช่งด่าดังในหูไม่หยุดหย่อน มีดบินจำนวนมากถูกแทรกเข้าไปทุกช่องโหว่ และครอบคลุมจุดสำคัญรอบร่างกายของเย่จิ่งอวี้

สองหมัดของเย่จิ่งอวี้ยากจะสู้สี่มือ รวมทั้งผีแคระเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป จึงโดนยับยั้งในทันที

เมื่อเห็นลูกศิษย์หลายคนล้มลงบนพื้น คิ้วคมก็ขมวดขึ้นมาทันทีทันใด

ขณะที่เขากำลังว่อกแว่กอยู่ ดาบยาวก็วาดไปที่แขนของเขา มีเสียงผ้าฝ้ายขาดวิ่นดังขึ้น เลือดก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา

เย่จิ่งอวี้ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก สายตาที่แหลมคมสะท้อนความเย็นชาออกมา เมื่อขยับดาบยาว พลังที่คมดาบก็เพิ่มขึ้นมา เขาใช้สมองถือกุมดาบไว้ ใช้ดาบแทนมีดเฉือนไปที่ผีแคระด้วยความว่องไวราวสายฟ้า

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ผีแคระคนนั้นถูกแบ่งเป็นสองท่อน เลือดเนื้อสาดกระเซ็น

เมื่อชาวตงหลิวคนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจอย่างอดไม่ได้ การคลายการโจมตีลงในทันที

เย่จิ่งอวี้โบกสะบัดดาบอีกครั้ง ชาวตงหลิวหลายคนไม่กล้าประมาทอีกครั้ง และรวมตัวเป็นหนึ่งในพริบตา แสดงค่ายกลกระบี่ที่แปลกประหลาดออกมา พร้อมกับล้อมขังเย่จิ่งอวี้ไว้ตรงกลาง

ขณะนั้น เสียงเสื้อผ้าพัดผ่านอากาศดังมาจากระยะไกล

ร่างเงาหลายร่างเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

ผู้ที่นำหน้าก็คือเจ้าสำนักเฮ่ออวิ๋นทงแห่งสำนักกระบี่สังหาร

“ไอ้สุนัขชั้นต่ำ ตายเสียเถอะ!”

เฮ่ออวิ๋นทงตะคอกเสียงเข้ม เมื่อยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น ดาบก็ปรากฏออกมาจากฝักดาบที่ดำสนิทผสานกับเสียงลมคำราม และพุ่งตรงไปด้านหลังของผีแคระ

ผีแคระคนนั้นหายไปในทันที ฝักดาบที่เก็บคืนไม่ทันก็พุ่งตรงไปที่เย่จิ่งอวี้โดยตรง

เย่จิ่งอวี้สะกิดปลายเท้า คนก็เหาะขึ้นกลางอากาศ ฝักดาบจึงกระแทกเข้ากับประตูของลานกว้างเป่ยไห่

ได้ยินเพียงเสียงดังตูม ต้นเสาที่ก่อจากหินเขียวแตกกระจายและล้มลงกับพื้นด้วยเสียงดังปัง

ซูถูเหลือบมองเขา และถามว่า “เห็นใดเจ้าจึงสวมหน้ากากผ้า?”

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ลูกศิษย์หน้าตาอัปลักษณ์ จึงเกรงว่าจะทำให้ผู้อาวุโสต้องตกใจขอรับ”

ซูถูยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร สำนักของพวกเราไม่ได้เลือกคนที่หน้าตา เจ้าจะมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ”

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความอดทนว่า “เช่นนั้นก็ไม่ได้ขอรับ ลูกศิษย์ไม่กล้าล่วงเกินขอรับ”

ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ลูกศิษย์หลายคนข้างกายซูถูต่างก็เจ็บปวดล้มตาย ตอนนี้ได้พบกับเย่จิ่งอวี้ที่มีวิทยายุทธ์ไม่เลว จึงมีความคิดที่จะเก็บเขาไว้ข้างกาย เพื่อเป็นหน้าเป็นตากแก่ตัวเองด้วย

“เรื่องนี้ไม่ยาก ข้ามีหน้ากากอยู่ชิ้นหนึ่ง เจ้าสวมไว้ก่อน หากรู้สึกไม่เหมาะสม พรุ่งนี้ข้าจะหาคนทำให้เจ้าใหม่”

ซูถูหยิบหน้ากากออกมาจากด้านในเสื้อ วัสดุคล้ายเหล็กแต่ก็ไม่ใช่ มีแสงเย็นส่องออกมารำไร เมื่อถืออยู่ในมือก็พอมีน้ำหนักอยู่บ้าง

เมื่อเห็นเจ้าสำนักเซี่ยวอยู่ไม่ไกล เย่จิ่งอวี้จึงหันหลังกลับและสวมหน้ากากชิ้นนั้นบนใบหน้า

“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส”

ซูถูหัวเราะเหอะๆ พูดด้วยใบหน้าที่เมตตา “ต่อไปเรียกว่าท่านอาจารย์”

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ลูกศิษย์น้อมรับคำสั่งขอรับ”

ซูถูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และพาเย่จิ่งอวี้มายังที่พักของเจ้าสำนักเซี่ยว

เจ้าสำนักเซี่ยวกำลังพูดคุยกับเฮ่ออวิ๋นทงอยู่พอดี เมื่อเห็นซูถูเดินเข้ามา จึงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา

ซูถูพูดว่า “เจ้าสำนักเซี่ยวยังคงโกรธข้าอยู่งั้นหรือ?”

เจ้าสำนักเซี่ยวหันหน้าไปทางทะเลกว้าง ไม่สนใจเขา

ความเย็นชาแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของซูถู แต่เป็นเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น ใบหน้าก็แสดงออกอย่างมีเมตตากรุณาดังเดิม

เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านและข้าต่างก็มาที่นี่เพื่อต่อสู้กับตงหลิว เหตุใดต้องแยกกันชัดเจนขนาดนี้ด้วย การต่อสู้ในวันนี้สูญเสียลูกศิษย์ไปไม่น้อย เจ้าสำนักเซี่ยวยังคิดจะซ่อนพิณการเวกไว้อีกหรือไม่? หรือในสายตาของเจ้าสำนักเซี่ยว ชีวิตของทุกคนเทียบไม่ได้กับพิณเพียงตัวเดียว?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์