สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 666

เมื่อพูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างก็หันไปทางเจ้าสำนักเซี่ยว

การอ้างหลักศีลธรรมบังคับให้ทำตามที่ตนเองปรารถนายืนอยู่บนจุดสูงได้เสมอ แม้แต่ในสมัยโบราณก็ไม่มีข้อยกเว้น ในสายตาของทุกคนมีความแตกต่างกันมากขึ้นในทันที

เฮ่ออวิ๋นทงรุดหน้าไปหนึ่งก้าว และพูดด้วยสัจธรรมว่า “ผู้อาวุโสซูพูดผิดแล้วล่ะ พิณการเวกเป็นถึงสิ่งของของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ การใช้งานเป็นอย่างไรควรให้เจ้าสำนักเซี่ยวเป็นผู้ตัดสินใจเอง อีกทั้งแต่ละสำนักล้วนมีวิชาดาบเป็นหลัก แม้เจ้าสำนักเซี่ยวนำพิณนี้ออกมา ก็อาจไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่พวกเราควรทำให้ตอนนี้คือรักษาผู้คุมตราเซี่ยวให้เร็วที่สุด จึงจะใช้พิณการเวกได้อีกครั้ง”

ซูถูส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย

“ข้ารู้ว่าเจ้าสำนักเฮ่อและเจ้าสำนักเซี่ยวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่เรื่องสำคัญอย่างมาก เมื่อชายฝั่งทะเลเป่ยไห่ตกอยู่ในมือของศัตรู ทั่วทั้งดินแดนจงหยวนก็จะประสบหายนะ เกรงว่าทุกท่านที่อยู่ที่นี่ยังไม่รู้วิธีการของชาวตงหลิวชัดเจนดีนัก ตอนนี้จึงใช้วิธีการต้านศัตรูไว้ก่อน ตอนนี้ข้าได้พบผู้ที่รอบรู้ท่วงทำนองเพลงแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักเซี่ยวยินยอมที่จะลองดูหรือไม่”

หากผู้อื่นยืมพิณ เจ้าสำนักเซี่ยวไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน สิ่งสำคัญนการยืมของคือมีการให้ยืมก็ต้องมีการให้คืน จึงจะยืมได้อีกครั้ง แต่หากพิณตกไปอยู่ในมือของซูถู ไม่ต่างจากการโยนเนื้อให้สุนัข เสียไปไม่กลับคืนมา

เดิมทีเจ้าสำนักเซี่ยวก็ไม่ชอบการวางมาดขรึม หน้าไหว้หลังหลอกอย่างซูถู จึงไม่ยินยอมที่จะมอบให้

เขาพูดเย้ยหยันว่า “ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร ไม่ต้องให้ท่านสอนหรอก ในหอยังมีเรื่องสำตัญต้องจัดการ สหายทุกท่าน ข้าขอตัวลาเพียงเท่านี้”

เจ้าสำนักเซี่ยวสะบัดแขนเสื้อออก และเดินฝ่าสายลมออกไป

เฮ่ออวิ๋นทงเหลือบมองซูถูด้วยสายตานิ่งเฉย และพาต่งจื่ออวี๋เดินออกไป

ต่งจื่ออวี๋เดินสองสามก้าวก็หันหน้ามา และมองไปทางเย่จิ่งอวี้

เขามาเป่ยไห่ได้หลายวันแล้ว รู้จักลูกศิษย์แต่ละสำนักแทบหมดทุกคน ก่อนหน้านี้เห็นเย่จิ่งอวี้สวมผ้าคลุมหน้าก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และดวงตาที่ยาวบางคู่นั้นก็คุ้นตาอย่างมาก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน

ตอนนี้เมื่อเห็นเขาสวมหน้ากากโลหะที่มีแสงหม่นๆ ในใจก็ยิ่งรู้สึกสงสัย

เจ้าหมอนี่คือใครกัน?

หรือมีสำนักไหนโยกย้ายลูกศิษย์มาอีกแล้ว?

เมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์เดินออกไปไกลแล้ว ต่งจื่ออวี๋รีบเก็บความแปลกใจเอาไว้ และสาวเท้าเดินตามไป

จากที่ไกล เย่จิ่งอวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ

เสี่ยงมาก เกือบถูกคนจำได้แล้ว

ซูถูได้เดินไปพร้อมกับคนสำนักคนอื่นๆ แล้ว

พูดขึ้นอย่างถอดถอนใจว่า “ไม่คิดว่าเจ้าสำนักเซี่ยวเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้ หากลูกสาวบุญธรรมของเขาไม่ฟื้นขึ้นมาตลอดชีวิต เกรงว่าพวกเราคงไม่เห็นพิณการเวกแสดงอานุภาพออกมาแน่”

ชายอ้วนคนหนึ่งพูดว่า “เจ้าสำนักเซี่ยวปฏิบัติต่อลูกสาวบุญะรรมเป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะหมอเทวดาหนิงไม่สามารถรักษาได้ จึงทำร้ายเขาจนตาย”

อีกคนก็พูดต่อว่า “ฝ่ามือทะลายเสียงมีเพียงลูกศิษย์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่ทำได้ ข้าได้ยินว่าวิชาฝ่ามือนี้เหมาะสำหรับผู้ชายฝึกฝนมากกว่า หลายปีมานี้ผู้ที่สามารถฝึกวิชาฝ่ามือนี้ถึงขั้นสูงสุด มีเพียงลูกศิษย์คนสำคัญอย่างอวี้เซียวและตู้เยี่ยน”

มีคนถามว่า “ตู้เยี่ยนถูกเจ้าสำนักเซี่ยวฆ่าตายแล้วไม่ใช่หรือ?”

ซูถูพูด “ถูกต้อง ได้ยินว่าตู้เยี่ยนหลงรักลูกสาวบุญธรรมของเจ้าสำนักเซี่ยว จึงถูกฝ่ามือพิฆาตของเจ้าสำนักเซี่ยวฆ่าตาย ดังนั้นจึงเกิดข่าวลือหนาหูมากมายตามท้องตลาด หากเจ้าสำนักเซี่ยวผิดจรรยาบรรณเช่นนี้จริงๆ นับเป็นความอับอายของชาวสำนักอย่างพวกเรา”

ชายอ้วนคนนั้นพูดต่อว่า “นี่ก็ไม่แน่นะ ดังคำกล่าวที่ว่ารู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ หากเจ้าสำนักเซี่ยวคิดสกปรกกับลูกสาวบุญธรรมของเขาจริงๆ การฆ่าหมอเทวดาหนิงก็สมเหตุสมผลแล้ว”

อีกคนพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “สงครามเป่ยไห่อันตรายอย่างมาก การพึ่งพิงการรักษาหมอเทวดาหนิง พวกเราคงไม่ต้องเป็นกังวล ตอนนี้หมอเทวดาหนิงถูกฝ่ามือทะลายเสียงฆ่าตาย พวกเราคงไม่ปล่อยเลยตามเลยแน่นอน จำเป็นต้องหาคำอธิบายจากเขาให้ได้”

ซูถูพูดอย่างช่วยอะไรไม่ได้ว่า “เจ้าสำนักเซี่ยวและสำนักกระบี่สังหารมีอำนาจใหญ่โต เป็นผู้นำของแต่ละสำนัก หากต้องการทวงคืนความยุติธรรม ผู้ร่วมยุทธจักรทุกท่านโปรดรวมใจกันเป็นหนึ่ง ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้คงทำได้ยาก”

เย่จิ่งอวี้ยืนฟังอยู่ข้างๆ เพราะไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด เขาจึงไม่กล้าตัดสินว่าใครดีหรือเลว

คนที่พูดก่อนหน้านี้พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เช่นนั้นพวกเราก็รวมตัวผู้ร่วมยุทธจักรทุกคน วันพรุ่งนี้ไปถามที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้าสำนักเซี่ยวไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ เรื่องนี้ก็ยอมแพ้ไม่ได้เช่นกัน”

ซูถูหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “ข้าได้ยุยงผู้ร่วมยุทธจักรแล้ว พรุ่งนี้จะไปคิดบัญชีกับเจ้าสำนักเซี่ยว ไม่ทราบว่าข้อตกลงของเจ้าสำนักจะสำเร็จเมื่อใด?”

ฉุยอวี้หยิบม้วนหนังสือออกมาจากในเสื้อ และโยนลงบนโต๊ะ

“นี่คือครึ่งแรกของวิชาดวงใจเซียวเหยา เมื่อได้พิณการเวกมาแล้ว ข้าจะมอบครึ่งหลังให้แก่ท่าน และยังมอบหญิงสาวที่พอมีวิทยายุทธ์แก่ท่านด้วย เพื่อให้ผู้อาวุโสซูได้เพลิดเพลินกับรสชาติที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว”

ซูถูเก็บหนังสือเป็นอย่างดี หัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “รบกวนท่านเจ้าสำนักมากแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกใครพบเห็น ข้าขอตัวก่อนล่ะ”

ซูถูประสานมือคำนับ และผลักประตูเดินออกไป

ฉุยอวี้มองซูถูผ่านผ้าปิดหน้า พร้อมยิ้มที่มุมปาก

เขาหันกลับและเดินเข้าไปในทางลับ เมื่อผ่านทางเดินที่ยาวเหยียดก็มาถึงคุกหินแห่งหนึ่ง

ด้านในคุกมัดผู้หญิงคนหนึ่งไว้อยู่ ดูท่าทางมีอายุประมาณสามสิบปี แต่รอยย่นที่หางตากลับเผยให้เห็นร่องรอยแห่งกาลเวลาอันล้ำลึก

ในเวลานี้ มือและเท้าของนางถูกมัดด้วยโซ่เหล็กหนาเท่าลำแขน และร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยรอยแส้

เมื่อเห็นชายชุดดำ สายตาของผู้หญิงก็แสดงความเกลียดชังออกมา

“เจ้าคือผู้ใดกันแน่ เจ้าแทบไม่ใช่คนของสำนักเซียวเหยาด้วยซ้ำ”

ชายชุดดำหัวเราะเสียงเบา

“ข้าเป็นใครนั้นสำคัญด้วยหรือ? เจ้าสำนักรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสแห่งสำนักเซียวเหยา แต่ยังยินยอมร่วมรักกับข้า”

เขายิ้มเยาะเย้ยแล้วพูดว่า “เป็นเพียงหญิงวัยกลางคนที่พราวเสน่ห์ แต่คิดละโมบอยากได้ความงามของข้า เจ้าคิดว่าข้าขาดผู้หญิงถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์