เมื่อเห็นเย่จิ่งหลานออกหน้าท่าทางเกินจริง อินชิงเสวียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม “จะทำอะไรได้เล่า ก็เป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้มีชีวิตลำเค็ญเท่านั้น น่าสงสารแต่ข้าที่ยังไม่ได้ทำงานสักวัน กลับต้องมาถูกรถเก๋งชนตาย”
เย่จิ่งหลานมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง ปล่อยมือแล้วพูดว่า “หรือ ว่าในโลกนี้จะมีอัจฉริยะจริงๆ?”
อินชิงเสวียนพูดอย่างถ่อมตัว “อาจเป็นเพราะการดื่มน้ำพุวิญญาณกระมัง”
“ข้าก็ดื่มน้ำพุวิญญาณเหมือนกัน ทำไมถึงไม่ได้ผลแบบนั้น เป็นเพราะเจ้าให้ข้าน้อยเกินไปแน่ๆ อีกเดี๋ยวใส่ไว้ในอ่างอาบน้ำให้ข้าหน่อยนะ ข้าจะแช่ตัวให้หนำใจไปเลย”
เย่จิ่งหลานกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว
อินชิงเสวียนด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“ได้สิ ถึงเติมน้ำให้เจ้าสิบตันก็ไม่มีปัญหา”
“ถ้างั้นก็รีบเลย จะรออะไรอีกเล่า”
หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบก็เข้าไปในมิติ
อินชิงเสวียนดูแผนที่คร่าวๆ เพื่อไม่ให้เจ้าม้าเหนื่อยเกินไป พวกนางพักผ่อนในเวลากลางคืน และเดินทางในตอนกลางวันตลอด ตอนนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลเป่ยไห่เป็นระยะทางราวๆ หนึ่งวัน ซึ่งเร็วกว่าเวลาที่คำนวณไว้แต่แรกมาก
เมื่อคิดถึงเย่จิ่งอวี้ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย อินชิงเสวียนก็รู้สึกเหมือนยิ่งใกล้บ้านยิ่งหวั่นใจ ด้วยกลัวว่าสิ่งที่ได้รับทราบ คือการเสียชีวิตของเขา
นางถอนหายใจยาว แล้วเข้าไปในมิติของเย่จิ่งหลาน เป็นวาสนามิใช่คราวเคราะห์ แม้นเป็นคราวเคราะห์ก็หลบไม่พ้น
ตอนนี้ถึงนางคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อไปถึงเป่ยไห่จะทราบสถานการณ์ทั้งหมดอย่างกระจ่างเอง
หลังจากเติมน้ำในอ่างถังใหญ่ให้กับเย่จิ่งหลานแล้ว อินชิงเสวียนก็ไปดูเสี่ยวหนานเฟิง
มีหนิงซวงเป็นผู้นำทาง อินชิงเสวียนจึงไม่กังวลเรื่องใด เข้าไปอยู่ในมิติสักพักหนึ่งเลย
เย่จิ่งหลานอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ แถมยังขอน้ำพุวิญญาณเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ชงชาหนึ่งกาอย่างสบายใจเฉิบ
ในสองวันที่นั่งอยู่ในรถ ก็ถูกจนโยกจนร่างแทบพัง ถ้าไม่ใช่เพราะอินชิงเสวียนนั่งอยู่ในรถด้วย เขาคงไม่ออกไปรับชะตากรรมนี้
เมื่อนึกถึงความเป็นนักแม่นปืนของหญิงสาวบ้าๆ คนนั้น เย่จิ่งหลานก็กระตุกมุมปาก นึกในใจว่าควรแลกให้นางสักกระบอกด้วยดีไหม หากได้รักษาผู้ป่วยเหล่านั้นที่อยู่ในเป่ยไห่ การสะสมคะแนนคงไม่ใช่เรื่องยาก
เขาหยิบชาขึ้นมาจิบ เป็นชาทิกวนอิมบริสุทธิ์ รสชาติดีจริงๆ จากนั้นก็หยิบนิยายออกมา แล้วเปิดอ่านอย่างเพลิดเพลินในขณะที่แช่ตัวในน้ำพุวิญญาณ
อินชิงเสวียนยังใช้น้ำพุวิญญาณชงชาให้ฮวาเชียนดื่ม
ฮวาเชียนรับชาไว้ และโค้งคำนับแสดงความขอบคุณ
“ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ”
อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาฮวาไม่ใช่คนจากวังหลวง ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่ากุ้ยเฟย เรียกข้าว่าชิงเสวียนก็พอแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคนนี้ทั้งมีหน้าตางดงามหยาดเยิ้ม พูดจาไพเราะอ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง ฮวาเชียนก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ฮ่องเต้น้อยกับนางช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก
แต่ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่แห่งหนใด หากเจ้าสำนักเซี่ยวเต็มใจที่จะอธิบายเรื่องนี้แต่แรก เย่จิ่งอวี้ต้องช่วยแม่ของเขาอย่างแน่นอน
แค่เกลียดที่ฮ่องเต้เฒ่าหลายใจมักมาก ถ้าไม่ใช่ด้วยเหตุนี้ เจ้าสำนักเซี่ยวคงไม่เกลียดคนในราชวงศ์ถึงขั้นนี้
ระหว่างผู้คุมตรากับฮ่องเต้แซ่เย่คนนั้น เป็นความสัมพันธ์เลวร้ายจริงๆ!
เมื่อเห็นฮวาเชียนถอนหายใจเบาๆ อินชิงเสวียนก็ถามว่า “ท่านอาฮวากังวลเรื่องอะไรอยู่หรือ”
ฮวาเชียนกล่าวว่า “ตอนนี้สำนักทั้งหมดได้รวมตัวกันที่เป่ยไห่แล้ว สองวันนี้ยังเกิดภาวะฉุกเฉินติดต่อกันอีก ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน หรือว่า...”
อินชิงเสวียนพูดขึ้นทันควัน “ไม่หรอก อาอวี้มีวรยุทธ์แข็งแกร่งมาก ต้องสามารถป้องกันตัวเองได้แน่ๆ คืนนี้เรายังไม่ต้องพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้เช้า เราก็จะไปถึงชายฝั่งทะเลเป่ยไห่”
แม้ว่านางจะมีความคิดที่ไม่ดีอยู่ในใจ แต่ในขณะนี้ นางไม่อยากได้ยินการคาดเดาเกี่ยวกับอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น
ฮวาเชียนพยักหน้า
“เจ้าพูดถูก วรยุทธ์ของฮ่องเต้ได้รับการสอนจากศิษย์พี่ตู้เยี่ยนด้วยตัวเอง แม้แต่ในยุทธจักร ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
อินชิงเสวียนถามด้วยความพิศวง
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสบายใจมาก
แม้ว่านางจะต่อสู้กับคนอื่นหลายครั้ง แต่นางก็ไม่เหมือนกับเย่จิ่งอวี้ ที่ฝึกฝนวรยุทธ์ทุกวัน ตัวเองสามารถมาถึงระดับนี้ได้ ก็ควรจะพอใจแล้ว
แต่ก็ต้องขอบคุณพลังจากมิติ หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ ลำพังแค่ใช้วิชากลวงๆ เหล่านี้ได้ ก็ไม่ต่างจากการแสดงกายกรรม
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อินชิงเสวียนกลุ้มใจขึ้นมาอีก
กำลังภายในของคนอื่นมาจากการฝึกฝน แต่กับพลังของตัวเอง นางต้องเอามาจากมิติ จึงจะแสดงความสามารถออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าสิ่งนี้จะมีอำนาจ ทว่าไม่เพียงแต่มีการจำกัดเวลาการใช้งาน แต่ยังมีการจำกัดจำนวนครั้งที่สามารถใช้ได้อีกด้วย
จะจัดการกับคนธรรมดาก็พอไหว แต่ถ้านางพบกับยอดฝีมืออย่างเช่นเจ้าสำนักเซี่ยว แม้ว่านางจะมีพลังไม่มีที่สิ้นสุด ก็อาจไม่สามารถเอาชนะเขาได้
“ท่านอาฮวาทราบวิธีเพิ่มกำลังภายในหรือไม่”
แม้ต้องใช้วิธีที่ผิดหลักทำนองคลองธรรม แต่อินชิงเสวียนก็ยังอยากลอง
ฮวาเชียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การฝึกวรยุทธ์เป็นการค่อยๆ ก้าวหน้าไปตามลำดับ ไม่มีทางลัด พระสนมอย่ามีความคิดเพ้อเจ้อดีกว่า เมื่อใดที่จิตใจว่อกแว่ก ก็จะตกอยู่ในทางชั่วร้ายได้ง่าย”
อินชิงเสวียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ขอบคุณท่านอาฮวา ชิงเสวียนได้รับการสอนสั่งแล้ว”
แต่ในใจกลับรู้สึกไม่เห็นด้วย นางไม่มีกำลังภายในที่แท้จริง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก
จนแล้วจนรอดมิติก็ยังไม่มีการกระตุ้นทักษะใหม่ๆ การก้าวหน้าของนางก็มีแค่เท่านี้แล้ว
ทั้งสองคุยกันอีกไม่กี่คำ จากนั้นอินชิงเสวียนก็ออกจากห้อง ปล่อยให้ฮวาเชียนพักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนตัวเองก็พาไป๋เสวี่ยกลับไปที่รถม้า แล้วดูแผนที่เส้นทาง
ในเวลานี้ หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน ได้ยินเสียงร้องเรียกของทุกคนอย่างไม่หยุดหย่อน
เจ้าสำนักเซี่ยวกำลังร้อนใจ ตะโกนเสียงดังลั่น “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...