สำนักอวิ๋นซาน
ซูถูนั่งอยู่ในห้องด้วยใบหน้ามืดมน ในใจแทบอยากจะถลกหนังดึงเส้นเอ็นของอินชิงเสวียนออกมา หากไม่ใช่เพราะนังเด็กบ้านั่นโผล่ออกมา พิณการเวกก็อาจจะตกอยู่ในมือของเขาแล้ว ยิ่งเมื่อคิดว่าหลิวจิ่งก็เป็นคนที่คนอื่นส่งมา ก็ตบมือลงบนโต๊ะอย่างอดไม่ได้
เรื่องนี้ ไม่มีวันเลิกราไปง่ายๆ แน่
แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด จึงไม่มีข่าวจากฉุยอวี้
ในเวลานั้นตกลงกันไว้แล้วแท้ๆ ว่าเขาจะมาเสริมทัพภายหลัง เชื่อว่าเขาคงเห็นนังเด็กบ้านั่นและหลิวจิ่งแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ลงมือ
หลังจากคิดใคร่ครวญเรื่องนี้แล้ว ซูถูก็ตัดสินใจไปพบกับฉุยอวี้ ถามเขาว่าเขามีเจตนาอะไรกันแน่
หลังจากเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ก็มาถึงสถานที่ที่ทั้งสองมักจะนัดพบกัน หลังจากนั้นไม่นาน ฉุยอวี้ก็ออกมาจากทางลับ
“ผู้อาวุโสซูรีบร้อนมาที่นี่เช่นนี้ มีเรื่องอะไรหรือ”
ซูถูแค่นเสียงหึและพูดว่า “เรื่องเมื่อคืนก่อน เดาว่าเจ้าสำนักฉุยจะสังเกตเห็นแล้ว หรือจะปล่อยให้พวกเขานำพิณกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้”
ฉุยอวี้นั่งบนเก้าอี้ พูดเนิบๆ ไม่ช้าไม่เร็ว “ไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ในสายตาของทุกคน แม้ว่าเราสองสำนักจะร่วมมือกันก็ไม่สามารถหยุดสำนักต่างๆ ในใต้หล้าได้ หากเราทำเช่นนี้จริงๆ คงโดนฝูงชนรุมกระทืบแน่ๆ พักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวก่อน จะได้ไม่ตกอยู่ภายใต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน”
ซูถูได้ยินสิ่งนี้ก็โกรธมาก รู้สึกว่าไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี ก็ให้เขาพูดอยู่คนเดียว วันนั้นสำนักอวิ๋นซานเป็นคนลงมือ แต่เขาเปลี่ยนใจก่อนการต่อสู้ หรือว่าเขาขายสำนักอวิ๋นซานทิ้งแล้ว
ดูเหมือนว่าฉุยอวี้จะอ่านความคิดเขาได้ หัวเราะเบาๆ “ผู้อาวุโสซูถูไม่ต้องกังวล สำนักอวิ๋นซานเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงในยุทธจักร ผู้อาวุโสซูก็แย่งชิงพิณเพราะความปลอดภัยของเพื่อนร่วมยุทธจักร มีความผิดอย่างไร นอกจากนี้ หมอเทวดาหนิงก็เสียชีวิตจากฝ่ามือทะลายเสียง จนป่านนี้ยังไม่มีเบาะแสใดๆ เลย ทุกคนไม่ได้ไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ก็นับเป็นความโชคดีของผู้เฒ่าเซี่ยวแล้ว”
ดวงตาของซูถูสว่างขึ้นเล็กน้อย
จริงสิ เรื่องหมอเทวดาหนิงยังมีปัญหาแฝงอยู่ ที่เขาต้องการพิณก็เป็นเรื่องที่ชอบด้วยความยุติธรรมจริงๆ มีความผิดอย่างไร
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เจ้าสำนักฉุยพูดถูกแล้ว ที่เราต้องการพิณนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของสหายในยุทธภพ แตต่ดูเหมือนเด็กสาวคนนั้นจะไม่โดนพิณการเวกแว้งกัด ข้าสังเกตเห็นว่าวรยุทธ์ของนางไม่โดดเด่น ไม่งั้น...”
ซูถูยื่นมือออก ทำท่าทางเหมือนเชือดคอ
“ไม่ต้อง”
ฉุยอวี้พูดสองคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ แล้วพูดอย่างสงบ “เรื่องหญิงสาวผู้นั้นข้ามีวิธีจัดการเอง ผู้อาวุโสซูแค่รับผิดชอบเรื่องทวงถามความยุติธรรมให้หมอเทวดาหนิงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายเรื่องอื่น”
หลังจากที่ฉุยอวี้พูดจบก็ปรบมือ ทันใดนั้นศิษย์หญิงที่นุ่งน้อยห่มน้อยสองคนก็เดินออกจากห้องมา
ผู้อาวุโสซูมองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าสำนักหมายความว่าอย่างไร”
ฉุยอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สองคนนี้เป็นหม้อหลอมของเจ้า แม้ว่าผู้อาวุโสซูจะมีตำราเพียงครึ่งเล่ม ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝน”
ผู้อาวุโสซูเหลือบมองเด็กสาวทั้งสองทันทีอีกครั้ง นางทั้งสองไม่อาจเรียกได้ว่างดงามล่มแคว้น แต่ก็ดูชุ่มชื่นหัวใจ
พอคิดว่าตัวเองต้องบำเพ็ญพรตบนภูเขามาตลอดชีวิต ก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ
ดวงตาของฉุยอวี้จ้องมองไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสซูผ่านผ้าม่าน มุมปากยกขึ้นด้วยความพึงพอใจ
“เจ้ากลับไปฝึกพลังภายในก่อน เมื่อใดที่ต้องการสตรี ข้าก็จะไม่ตระหนี่เลย”
ผู้อาวุโสซูลุกขึ้นยืนทันที กล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าสำนักฉุย งั้นข้าขอตัวก่อน”
หลังจากที่ผู้อาวุโสซูจากไป ฉุยอวี้ก็โบกมือ ศิษย์หญิงทั้งสองก็ถอยกลับทันที
ฉุยอวี้เดินเข้าไปในเส้นทางลับอีกครั้ง เปิดประตู เห็นร่างงามนอนราบอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว ซึ่งก็คือจูอวี้เหยียนที่นอนอยู่บนนั้น
ฉุยอวี้ก็โยนตำราการฝึกพลังภายในให้นางเล่มหนึ่งเช่นกัน
“ในสองวันนี้เจ้าฝึกฝนไปตามนี้ก่อน ข้าจะมาที่นี่ทุกคน เพื่อช่วยเจ้าฟื้นฟูจุดตันเถียน”
จูอวี้เหยียนมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เกือบจะแน่ใจในใจว่าเจ้าสำนักฉุยที่อยู่ตรงหน้านาง คือคนที่นางคิดถึงมาโดยตลอด
ไม่นึกว่าจะมีอาวุธแบบนี้ในโลกนี้ ง่ายกว่าการฝึกวรยุทธ์จริงๆ
ส่วนอินชิงเสวียนหยิบทำนองเพลงพิณ แล้วเดินเข้าไปในห้องลับกับฮวาเชียน
“ที่นี่เป็นสถานที่เงียบสงบและเป็นความลับ หากไม่มีคำสั่งของเจ้าสำนัก ศิษย์ในสำนักจะไม่มารบกวนที่นี่เด็ดขาด แม่นางชิงเสวียนไม่ต้องกังวล ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก หากมีอะไรผิดปกติ แม่นางชิงเสวียนสามารถเรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“เจ้าค่ะ รบกวนท่านอาแล้ว”
ฮวาเชียนประกบมือคารวะ แล้วถอยกลับออกไป
ในเวลาต่อมาประตูหินด้านนอกก็ปิดลง นี่เป็นห้องลับที่สร้างขึ้นในภูเขา เป็นความลับมาก มีก้อนหินหนากองอยู่รอบๆ ซึ่งเป็นฉนวนกันเสียงที่ค่อนข้างดี
อินชิงเสวียนหยิบโคมไฟออกมาจากมิติ แขวนไว้ในรอยแยกของผนังหินด้านข้าง เปิดทำนองเพลงดู
หลังจากดูสักพัก ก็พยายามดีดสายพิณ เสียงทุ้มและไพเราะแว่วหวานออกมาจากพื้นที่ปิด ท่วงทำนองดนตรีง่ายๆ นี้ทำให้อินชิงเสวียนตกใจจริงๆ
โชคดีที่นางไม่มีวรยุทธ์อะไรนัก จึงไม่ได้รับผลกระทบมาก นางแค่ดีดสายไปตามทำนอง ปลายนิ้วก็ค่อยๆ เร็วขึ้น
เสียงพิณเล่นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฮวาเชียนก็ยืนฟังอยู่นอกประตู รู้สึกราวกับว่าเลือดลมกำลังเดือดพล่าน
อดไม่ได้ที่จะแอบประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าแม่นางชิงเสวียนจะลึกซึ้งในเพลงพิณเพียงนี้ หากให้เวลานางมากขึ้น คิดว่าคงเทียบได้กับศิษย์พี่เฟิ่งอี๋แน่นอน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น ซึ่งปรากฏว่าเป็นเย่จิ่งอวี้ที่เป็นห่วงอินชิงเสวียน จึงมาดูที่นี่
ฮวาเชียนพยักหน้าให้เขา ส่งสัญญาณเป็นความหมายว่าอินชิงเสวียนสบายดี เย่จิ่งอวี้กลัวว่าจะรบกวนอินชิงเสวียน จึงไม่ได้พูดอะไร
ในเวลานี้ ท่วงทำนองในห้องลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งรวดเร็วและฉับไว แรงผลักดันนั้นเป็นเหมือนกับกระบี่นับพันที่ก่อตัวกันขึ้น ทำให้คนหายใจไม่ออก
เย่จิ่งอวี้ยิ่งคิ้วขมวดมุ่น ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังจะหลุดออกจากหัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
น่าจะต้องมีเล่มต่อรึเปล่าคะ เหมือนยังไม่จบเพราะตอนสุดท้ายเห็นว่ามีชนเผ่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย...
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบค่ะ❤️❤️...
แย่จิ่งหลานเอ๋ย ในมิติไม่มียาสลบหรือ เอามาแทงคอตอนเผลออะไรอย่างนี้ให้หลับไป...
ขอบคุณแอดมากๆค่ะที่อัพจนจบ 🙏👍สนุกมากเรื่องนี้ happy ending สุขสันต์วันสงกรานต์ หยุดพักผ่อนได้แล้วนะแอด555 ยังไงเรื่องถัดไปขอเรื่องฮองเฮาสุดที่รักด้วยนะคะ...
รออัพต่อนะคะ ใกล้จะจบแล้ว...
เศร้าเลย แอดมินไม่มาต่อ พลีสสสส...
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...